เปรียบเทียบเป้าลดคาร์บอนอาเซียนใน COP29

asdpiewgroajenfkl;o

เปรียบเทียบเป้าลดคาร์บอนอาเซียนใน COP29

2 ม.ค. 2568

แชร์

Copied!
ประเทศไทยประกาศเป้าหมายชัดเจนในการประชุมระดับสูงของ COP ครั้งที่ 29 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน โดยมุ่งตามเป้า NDC สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ท่ามกลางการจับตาว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายได้มากน้อยแค่ไหน และแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ อย่างไรบ้าง

การแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกได้เข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย ดำเนินการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ  ภายใต้กรอบของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) หรือที่หลายคนคุ้นชินกับชื่อการประชุมภาคีที่เรียกว่า ประชุม COP (Conference of the Parties)

ภายใต้กรอบการประชุม COP ทุกประเทศ รัฐภาคี ต้องตั้งเป้าหมายลดคาร์บอน พร้อมแสดงความโปร่งใสในการดำเนินงานผ่านสองเครื่องมือสำคัญ คือ แผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution หรือ NDC) และ รายงานความโปร่งใสในระยะสองปี (Biennial Transparency Report หรือ BTR)

ถ้อยแถลงสัญญา จาก COP29

ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายชัดเจนในการประชุมระดับสูงของ COP ครั้งที่ 29 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน โดยมุ่งตามเป้า NDC สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ครอบคลุมทั้งภาคพลังงาน อุตสาหกรรม การขนส่ง และการเกษตร พร้อมทั้งผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดและการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว

จากถ้อยแถลงของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการประชุม COP29 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน มีประเด็นสำคัญดังนี้:

  • นำเสนอผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไทยเผชิญ ได้แก่ คลื่นความร้อนสูงถึง 43 องศา น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะหญ้าทะเลที่ส่งผลให้ประชากรพะยูนลดลง 50% ในเวลาไม่ถึง 6 ปี
  • ยืนยันเป้าหมาย NDC 2030 ในการลดก๊าซเรือนกระจก 222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ใน 5 ภาคส่วน ได้แก่ พลังงาน ขนส่ง ขยะ กระบวนการอุตสาหกรรม และการเกษตร
  • ประกาศเป้าหมาย NDC 3.0 ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ต่ำกว่า 270 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าจากระดับปี 2019 ภายในปี 2035 พร้อมเพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกในภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ได้ 120 ล้านตันภายในปี 2037
  • เน้นย้ำการดำเนินงานด้านการปรับตัวผ่านแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติใน 6 ด้าน และผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เรียกร้องให้เร่งจัดทำเป้าหมายการเงินด้านสภาพภูมิอากาศใหม่ (NCQG) และแนวทางการดำเนินงานของกองทุนเพื่อความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage Fund) เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบ

อ่านเพิ่ม https://policywatch.thaipbs.or.th/article/environment-79