เกษตรกรไทยผู้เลี้ยงหมู ยังคงเผชิญความท้ายในเรื่องการจัดการน้ำเสียจากฟาร์มเลี้ยงหมู เนื่องจากที่ผ่านมากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กําหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากแหล่งกําเนิดมลพิษประเภทการเลี้ยงสุกร (หมู) ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 7 พ.ย.48 โดยให้มีการบำบัดน้ำเสียจากการเลี้ยงหมูให้สะอาดก่อนระบายลงสู่แหล่งน้ำทั่วไป เพื่อป้องกันไม่ให้ทำลายสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ
แต่เนื่องจากการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูส่วนใหญ่จึงเลือกใช้วิธีกักเก็บน้ำเสีย และนำกลับมาใช้ซ้ำใหม่ในการเกษตร เช่น นำไปปลูกหญ้าเพื่อเป็นอาหารเลี้ยงวัว ซึ่งมีความเสี่ยงที่น้ำเสียเหล่านี้จะไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ หากมีน้ำเสียปริมาณมากเกินที่ความต้องการที่จะใช้ในการเกษตร หรือเกิดฝนตกหนักจนชะล้างขอเสียออกจากฟาร์มการเกษตร
อย่างไรก็ตามกฎหมายจำกัดเพียงแค่ไม่ให้ปล่อยน้ำเสียออกจากฟาร์มหากยังไม่ได้บำบัด แต่ไม่ได้เปิดช่องทางอื่น ๆ ให้กับเกษตรกรระบายน้ำเสียออกจากฟาร์มด้วยวิธีอื่น เช่น ขายให้เกษตรกรนำไปปลูกพืช หรือขายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น
ในเวทีนโยบายสาธารณะ Policy Forum “ในเวทีนโยบายสาธารณะ Policy Forum “ฝนตกขี้หมูไหล!! ระเบิดเวลาฟาร์มสุกร” ภายใต้หลักสูตรการพัฒนาผู้จัดการงานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม ด้านนโยบาย รุ่นที่ 2 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้มีการพูดคุยถึงปัญหาการจัดการน้ำเสียในฟาร์มหมู โดยได้ยกตัวอย่างในพื้นที่จังหวัดราชบุรี เนื่องจากเป็นพื้นทีที่มีการเลี้ยงหมูจำนวนมาก
ข้อมูลกรมปศุสัตว์ ปี 2567 พบว่าเกษตรกรไทยทั่วประเทศเลี้ยงหมู 12,329,680 ล้านตัว โดยจังหวัดราชบุรี ถือเป็นจังหวัดที่เลี้ยงหมูมากที่สุดในประเทศ 1,361,713 ล้านตัว