เมื่อสังคมเปิดกว้าง มีช่องทางให้คนหลากหลายภาคส่วนนำเสนอความคิด ข้อเสนอนโยบายต่าง ๆ มากมาย แต่ช่องทางการทำมีน้อยกว่า ขณะที่ฝ่ายนโยบายมีหน้าที่จำกัดเรื่องงบประมาณและอีกหลายอย่าง ความไม่สอดคล้องกันจึงทำให้การขับเคลื่อนข้อเสนอเหล่านี้หลายครั้งต้องสะดุด
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 Policy Watch จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่การมีส่วนร่วม ณ อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ชวนผู้มีประสบการณ์ในกระบวนการทำนโยบาย นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และภาครัฐ มาทบทวนบทเรียนที่ทำให้นโยบายติดดอย-ติดหล่ม และจุดประกายความคิดให้เกิดการพูดคุยกันในสังคม เพื่อหาแนวทางร่วมที่จะเดินหน้าข้อเสนอเหล่านี้ให้เป็นจริง
โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ ผศ.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาความสามารถการแข่งขันและนวัตกรรมนโยบาย (สศช.), ผศ.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และที่ปรึกษา Policy Watch ร่วมด้วยภาคประชาชนที่หวังให้ประเทศไทยดีขึ้น ผ่านการมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบาย โดยมี ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบาย ไทยพีบีเอส ดำเนินการสนทนา
บทสนทนาเริ่มต้นด้วยการเล่าประสบการณ์ของ “คนทำข้อเสนอเชิงนโยบาย” ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาการทำนโยบายสาธารณะเป็นเรื่องยาก ต้องใช้ความอดทน เพราะไม่ใช่แค่ “การรวบรวมความต้องการของประชาชน”เพื่อแก้โจทย์สังคมให้ตรงที่สุด ต้อง “ปลดล็อกเงื่อนไขของระบบราชการ” ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับคำบอกที่ว่า รัฐทำเรื่องนี้อยู่แล้ว เรื่องใหญ่เกินไปเกินความสามารถ หรือเล็กเกินไปให้ทำกันเอง รวมถึงการเขียนเอกสารเสนอนโยบายที่ต้องใช้ความรู้และเทคนิคเฉพาะ นั่นหมายความว่าประชาชนทั่วไปอาจทำได้ยาก ต้องมีนักวิชาการเข้ามาช่วย
ทั้งหมดนี้ฉายภาพให้เห็นว่า นโยบายที่พวกเขาเสนอ ไม่เพียงแต่ขับเคลื่อนแล้ว “ติดดอย” แต่ยัง “ติดหล่ม” จมอยู่กับที่ เพราะหน้าต่างนโยบายของประชาชนถูกปิดล็อกอยู่ เปิดเพียงบานเดียวคือ บานที่ “ข้างบนลงมาข้างล่าง” (Top – Down)
ผศ.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และที่ปรึกษา Policy Watch วิเคราะห์ว่าอุปสรรที่ทำให้ข้อเสนอดี ๆ เหล่านี้เคลื่อนต่อไม่ได้มีอยู่ด้วยกัน 2 ปัจจัย หนึ่งคือ “ประเทศไทยมีสังคมการเมืองแบบรวมศูนย์” แม้ข้อดีของการปกครองแบบนี้ทำให้สั่งการได้รวดเร็ว แต่รัดแน่นเกินก็อาจทำให้นโยบายไม่เกิด
สองคือ “ความรู้ทางเทคนิค” การออกแบบนโยบาย ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน ยังเน้นการใช้ข้อมูลที่มาจากความเชี่ยวชาญและความชำนาญ ต้องมีสถิติหรือหลักฐานเชิงประจักษ์มาอ้างอิง แต่ไม่ยอมรับ “ข้อมูลเชิงจิตวิทยาและเชิงคุณค่า” เช่น ประสบการณ์ส่วนตัว อารมณ์ความรู้สึก เป็นต้น ทำให้เกิดข้อจำกัดที่เป็นตัวล็อกข้อเสนอดี ๆ ไม่ให้ไปถึงฝั่งฝัน

ผศ.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และที่ปรึกษา Policy Watch
ด้าน สุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาความสามารถการแข่งขันและนวัตกรรมนโยบาย (สคช.) คิดเห็นไม่แตกต่างกันไป และอธิบายให้เข้าใจมากขึ้นว่า สังคมการเมืองที่เน้นศูนย์รวมอำนาจนั้นคือปัญหาจาก “โครงสร้าง” ที่กำหนดให้ “ข้าราชการ” ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ การใช้งบประมาณ และการไม่ละเมิดหน้าที่ข้ามหน่วยงาน
ในการสั่งการจึงต้องกลั่นกรองให้ชัดว่า ภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ตรงตามหน้าที่ของหน่วยงานหรือไม่ เพราะถ้าละเมิด ถือว่าผิดกฎหมาย และการนำภาษีแผ่นดินไปใช้ หากไม่เกิดประโยชน์ จะผิดวินัยการเงินการคลัง ซึ่งเป็นเหตุผลให้หลายครั้ง หน่วยงานราชการต้องส่งเรื่องให้ “สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา” และ “สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ตรวจสอบว่าการขับเคลื่อนนโยบายที่ไม่เคยทำมาก่อนในแต่ละครั้งนั้น ตรงขอบเขตของหน่วยงานหรือไม่ และหากรับมาดำเนินงานต่อจะถือว่าผิดกฎระเบียบใดหรือไม่
ดังนั้นการยกร่างข้อเสนอนโยบายให้หน่วยงานราชการ จึงต้องใช้ “เทคนิค” ด้วย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัญหา โดยเฉพาะการเขียนให้ถูกกฎหมายและระเบียบราชการ ซึ่งต้องเขียนให้ “สั่งการ” (Take Action) ได้ คือระบุอำนาจหน้าที่ชัด กำหนดแนวทางวิธีแก้ปัญหา แผนการบริหารจัดการ และความคุ้มค่าที่ประชาชนจะได้รับ

สุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาความสามารถการแข่งขันและนวัตกรรมนโยบาย (สคช.)
เครื่องมือทางนวัตกรรม ปิดช่องโหว่นโยบายสาธารณะไทย
รัฐเน้นแต่การใช้ข้อมูลเชิงสถิติจัดทำนโยบาย ทำให้ขาด “ข้อมูลเชิงนามธรรม” ที่จะเป็นส่วนเติมเต็มให้นโยบายสมบูรณ์ แต่ใช่ว่าจะไร้ความหวัง สุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาความสามารถการแข่งขันและนวัตกรรมนโยบาย (สศช.) ฉายให้เห็นข้อดีในยุคปัจจุบันว่า เทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น มนุษย์จึงมีเครื่องที่เรียกว่า “Data Analysis” ทำหน้าที่วิเคราะห์เสียงแสดงความคิดเห็นและอารมณ์ความรู้สึกของคน ให้มีน้ำหนักและวัดได้
แต่มีสิ่งที่ต้องพัฒนาต่อ หนึ่งคือ “ทักษะของผู้กำหนดนโยบาย”(Policy Maker) ที่ในวันนี้อาจไม่เพียงพอ และสองคือ “แนวความคิดที่ยึดติดว่าต้องเสนอนโยบายต่อๆรัฐ” เพราะบางครั้งการรอให้รัฐจัดการ ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและใช้เวลานาน ถ้ารออาจไม่ทันการณ์
“ประชาชนเมื่อมีความเข้มแข็งมากระดับหนึ่ง จะขับเคลื่อนนโยบายได้ด้วยตัวเอง ยิ่งยุคนี้ ‘มีโซเชียลมีเดีย’ อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) หรือติ๊กตอก (Tiktok) ทุกคนสามารถเป็นสื่อและสร้างอิทธิพลต่อสังคมในวงกว้างได้ ต่อจากนี้จึงอยู่ที่ว่าทุกคนจะใช้ประโยชน์จากดิจิทัลแพลตฟอร์มสื่อสารนโยบายอย่างไรให้นำไปสู่การปฏิบัติจริง”
สุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาความสามารถการแข่งขันและนวัตกรรมนโยบาย (สศช.)
ล็อกใจผู้กำหนดนโยบาย เปิด Policy Window
ข้อเสนอต่อให้รวบรวมมาจากเสียงของประชาชนหลากหลายกลุ่ม แต่ถ้าหาหน้าต่างนโยบายไม่เจอ เส้นทางการขับเคลื่อนต่อจากนี้คงติดดอย หรือติดหล่ม ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
“สิ่งสำคัญสุดคือประชาชนต้องหาหน้าต่างนโยบายให้เจอ รู้ว่าช่องไหนที่จะเข้าไปทำให้ผู้กำหนดนโยบายสนใจ และพาลงจากดอยได้”
ผศ.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ส่วนจะล็อกใจผู้กำหนดนโยบายอย่างไร “ผศ.พงศ์เทพ” บอกว่า สูตรความสำเร็จอยู่ที่การทำให้ผู้กำหนดนโยบายเห็นว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายของประชาชนจะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมีคุณค่ามหาศาล ที่จะทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร ที่อยู่อาศัย หรือการใช้ชีวิต

สุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาความสามารถการแข่งขันและนวัตกรรมนโยบาย (สคช.)
วิธีแก้โจทย์นโยบายสาธารณะไม่ให้ติดดอย
“การพูดถึงแต่ ‘การมีส่วนร่วม’ ที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ทำให้เรา ‘ติดดอย’ เพราะเราคุยกันแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ความสนใจของประชาชน เข้าไปอยู่ในกระบวนการทำนโยบายให้มากที่สุด แต่ไม่เคยคุยถึงการทำอย่างไรให้นโยบายมีพันธะความรับผิดรับชอบในสัญญาณที่ประชาชนส่งออกไป”
ผศ.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และที่ปรึกษา Policy Watch
การทำนโยบายสาธารณะ ไม่ใช่แค่การรวบรวมคนมาสร้างข้อเสนอ แต่ยังรวมถึงการสร้าง “พันธะความรับผิดรับชอบ” (Accountability) ให้เข้มแข็ง เป็นเหตุผลให้สื่อเริ่มออกมาทำงานด้านนโยบายมากขึ้นด้วย ดังนั้นภารกิจร่วมกันต่อจากนี้ ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้การทำนโยบายสาธารณะของภาครัฐ เกิดการจับตา การกระตุ้น และผลักดัน
ใครที่ไม่รู้จะเริ่มต้นที่ไหน อย่างไร “ผศ.ธีรพัฒน์” ยกตัวอย่าง “Policy Watch” หนึ่งในสื่อที่ทำหน้าที่ติดตามและรายงานความเคลื่อนไหวนโยบายสาธารณะในสังคม ให้ทุกคนสามารถลองเข้าไปใช้งานได้ เพราะที่นี่ใช้นวัตกรรมเชิงนโยบายรูปแบบใหม่ วิเคราะห์ข้อมูลรูปธรรมและนามธรรม ทำให้ทุกคนตรวจสอบและประเมินผลการทำงานของผู้กำหนดนโยบายได้
เมื่อนโยบายที่มี บางครั้งก้าวไม่ทันกับความต้องการของประชาชน แต่เสียงข้อประชาชนกลับถูกบ่วงรัดทำให้ “ติดดอย–ติดหล่ม” การใช้ “นวัตกรรม” สังเคราะห์ข้อมูลและติดตามความเคลื่อนไหวของนโยบาย ไปพร้อมกับการหา “หน้าต่างนโยบาย” ให้เจอ เป็นกุญแจสำคัญที่ลดปัญหานโยบายสาธารณะสะดุดให้น้อยลง
อ่านเพิ่มเติม : ข้อเสนอนโยบาย “ติดดอย” แก้ยังไงดี ?