สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกบทวิเคราะห์ผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จัดทำนโยบายการค้าอเมริกามาก่อน (American First Trade Policy) มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำรายงานเสนอภายใน 1 เม.ย. 68 ครอบคลุมประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล (Unfair & Unbalanced Trade) ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับจีน รวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม (Economic Security) เพื่อกำหนดกรอบนโยบายด้านต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยมาตรการที่ดำเนินต่อประเทศต่าง ๆ จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเป็นธรรมทางการค้าต่อสหรัฐฯ
ทั้งนี้ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จะมีการจัดทำรายงานผลการประเมินการกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ค้า (National Trade Estimate Report on Foreign Trade Barriers: NTE) เป็นประจำทุกปี มีเนื้อหาสำคัญระบุถึงอุปสรรคทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้า
ไทยมีความเสี่ยงอันดับ 11 จากเกินดุลการค้าสหรัฐ
ในรายงานฉบับปี 2567 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เผยแพร่เมื่อ 29 มี.ค. 67 มีการระบุถึงมาตรการกีดกันทางการค้าของไทยที่สำคัญ ได้แก่ อัตราภาษีนำเข้าที่อยู่ในระดับสูง โดยอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าอื่น ๆ เฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 27.0% และ 7.1% เทียบกับ 5.0% และ 3.1% ของสหรัฐฯ ตามลำดับ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าของไทยที่ไม่ใช่ภาษี ได้แก่ การต้องขอบัตรอนุญาตให้นำเข้าสินค้าบางประเภทเช่นการนำเข้าเชื้อเพลิงชีวภาพ ไม้ เครื่องจักรอุตสาหกรรม เครื่องสำอาง รวมถึงหลักสุขอนามัยของสินค้าประเภทปศุสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ใช้มาตรฐานสูงเกินไปจากหลักสากลหรือผลทางวิทยาศาสตร์ เช่น การใช้สารเร่งเนื้อแดงในหมู รวมถึงข้อจำกัดในการลงทุนในประเทศไทยที่ยังจำกัดสัดส่วนผู้ถือหุ้นไม่เกิน 50% ในหลาย ๆ ธุรกิจ เช่น โทรคมนาคม การขนส่ง และธนาคาร นอกจากนี้ บางสาขาอาชีพยังมีไว้ให้สeหรับคนไทยโดยเฉพาะ
ทั้งนี้รายงาน NTE ยังให้ความสำาคัญกับความเข้มงวดของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิแรงงานของไทยอีกด้วย
เมื่อพิจารณาร่วมกับงานศึกษาของสถาบันต่าง ๆ ถึงเกณฑ์ในการประเมินความเสี่ยงของประเทศคู่ค้าของสหรัฐ ฯ ทั้งเกณฑ์ด้านการค้าความมั่นคง ภาครัฐบาล การลงทุน และผู้อพยพ โดยเมื่อพิจารณาจากมิติดุลการค้าพบว่าไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีเกณฑ์ความเสี่ยงจากทุกสถาบัน สอดคล้องกับข้อมูลดุลการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2567 อยู่ในลำดับที่ 11 เมื่อเทียบกับคู่ค้าสำคัญ
ช่องทางการส่งผ่านผลกระทบจากมาตรการสหรัฐฯ
การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 14195 เรื่อง “การกำหนดอากรเพิ่มเติมสำหรับสินค้านำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (Imposing Duties to Address the Synthetic Opioid Supply Chain in the People’s Republic of China)” ในวันที่ 1 ก.พ. 68 โดยมีเนื้อหาสำคัญว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดเป็นผลิตภัณฑ์ของจีนเพิ่มเติม 10% ของมูลค่าสินค้า (ad valorem duty) โดยมีผลตั้งแต่ เวลา 12:01 น. ของวันที่ 4 ก.พ. 68
หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศการเก็บภาษีจากจีนเพิ่มเติมดังกล่าวแล้ว เมื่อ 4 ก.พ. 68 จีนก็ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯหลายประเภท เพื่อตอบโต้มาตรการของสหรัฐฯ ในหลายรายการ ได้แก่ กลุ่มถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้น 15% และน้ำมันดิบ เครื่องจักรทางการเกษตร และสินค้ารถยนต์บางประเภทเพิ่มขึ้น 10% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 2568 เป็นต้นไป
ทิศทางการดำเนินมาตรการในระยะต่อไปยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่สูง จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบและเตรียมการในการรับมือผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ จากการประเมินช่องทางการส่งผ่านของผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในเบื้องต้น คาดว่า ผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะถูกส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยใน 4 ช่องทางสำคัญได้แก่
- ผลกระทบผ่านการส่งออกสินค้าของไทยผ่านห่วงโซ่การผลิต
- ผลกระทบผ่านการระบายสินค้าส่งออกของจีนมายังไทย
- ผลกระทบจากการที่ไทยอาจจะเสียส่วนแบ่งตลาดจากตลาด ASEAN
- ผลกระทบจากการขึ้นภาษีน าเข้าโดยตรงจากไทย
โดยมีรายละเอียดแต่ละช่องทาง ดังนี้
1. ผลกระทบผ่านการส่งออกของไทยผ่านห่วงโซ่การผลิต เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน จะส่งผลให้จีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งจะท าให้ความต้องการสินค้าของไทย โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นสินค้าขั้นกลางในห่วงโซ่การผลิตของจีนมีโอกาสที่จะลดลงด้วยโดยสินค้าสำคัญที่ไทยเป็นหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของจีน ได้แก่ รถยนต์นั่งและคอมพิวเตอร์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 พบว่า ภายหลังจากที่จีนส่งออกยานยนต์ไปสหรัฐฯ ลดลง 8.7% พบว่า ไทยส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังจีนลดลง 19.5% โดยที่ชิ้นส่วนยานยนต์สำคัญ ๆ ที่ไทยส่งออกไปจีนลดลง เช่น ยางรถยนต์ (ลดลง 12.8%) Airbag (ลดลง 14.4%) แผงหน้าปัด (ลดลง 30.0%) ตัวถัง(ลดลง 14.5%) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังพบว่า จีนส่งออกคอมพิวเตอร์ไปสหรัฐฯ ลดลง 22.2% ส่วนไทยก็ส่งออกสินค้าที่เป็นส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ไปจีนลดลง 9.1% เช่นกัน โดยส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ที่ไทยส่งออกไปจีนลดลง เช่น Hard Disk Drive (ลดลง 14.4%) เครื่องแปลงไฟฟ้า (ลดลง 34.0%) และพัดลมสำหรับคอมพิวเตอร์ (ลดลง 2.3%) เป็นต้น
2. ผลกระทบจากการที่จีนระบายสินค้าส่งออกมายังไทย เมื่อจีนส่งออกไปสหรัฐฯลดลง ท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ส่งผลให้มีแนวโน้มที่จีนจะระบายสินค้าที่ผลิตไว้ไปยังประเทศต่าง ๆ รวมทั้งไทย โดยอาศัยความได้เปรียบของการแข่งขันด้านราคาที่ต่ำ สะท้อนจากราคานำเข้าของไทยที่ลดลง ขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าสูงขึ้น สินค้าที่คาดว่าจีนจะมีการระบายออกมายังไทย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้าย เช่น ลำโพง โทรทัศน์ พัดลมกระเป๋า เป็นต้น
- สินค้าส่วนประกอบขั้นกลาง เช่น ชิ้นส่วนพลาสติก ชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศ พวงมาลัยรถยนต์ ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ เป็นต้น
- วัตถุดิบ เช่น เหล็กม้วนกลม เหล็กโครงสร้าง อะลูมิเนียม ท่อเหล็ก เป็นต้น
3. ผลกระทบจากการที่ไทยอาจจะเสียส่วนแบ่งตลาดจากตลาด ASEAN เมื่อจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ น้อยลง จึงมีแนวโน้มที่จีนจะส่งออกสินค้าไปยังตลาด ASEAN ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกหลักของไทย โดยสินค้าที่คาดว่าจะเข้าข่ายที่ไทยอาจจะต้องเสียส่วนแบ่งตลาด ASEAN ให้จีน เช่น รถยนต์นั่งและชิ้นส่วน รถกระบะและชิ้นส่วนแผงวงจรรวม เป็นต้น
4. ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าโดยตรงจากไทย เนื่องจากในระยะถัดไป มีแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ในอัตราที่ประเทศต่าง ๆ เรียกเก็บต่อสหรัฐ (reciprocal tariffs) ซึ่งหากดำเนินการเช่นนั้นจริง คาดว่าสินค้าไทยน่าจะมีแนวโน้มถูกเก็บภาษีเพิ่มหลายรายการ ที่สำคัญ อาทิ 1) กลุ่มอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 2) กลุ่มเครื่องจักรเครื่องมือ 3) สินค้าในกลุ่มยานยนต์ 4) กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติก และ5) กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์จากเหล็ก โดยสัดส่วนมูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ของสินค้าทั้ง 5 กลุ่มนี้ รวมอยู่ที่ 65.5% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด (จำแนกรายกลุ่มสินค้าเป็น 32.0% 24.8% 4.2% 2.6% และ 2.1% ตามลำดับ)
ภายใต้ทิศทางการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าสำคัญ ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่สูงและอาจยกระดับความรุนแรงมากขึ้นจากในปัจจุบันที่เริ่มมีการดำเนินการบังคับใช้มาตรการบางส่วนแล้วผ่านการขึ้นภาษีนำเข้า จึงจำเป็นต้องติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบและเตรียมการในการรับมือผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยได้อย่างทันท่วงที
ขึ้นภาษีกลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียม ผลต่ออุตสาหกรรมไทย
เมื่อ 10 ก.พ. 68 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีโดยมีเนื้อหาว่าจะมีการประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมสู่ระดับ 25% (จากเดิม 10%) โดยไม่มีข้อยกเว้นและยกเลิกข้อยกเว้นรายประเทศและข้อตกลงตามโควตา รวมทั้งยกเลิกการยกเว้นภาษีเฉพาะผลิตภัณฑ์ (product-specific tariff)
มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค. 68 ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมาตรการนี้ คาดว่าจะเกิดเป็นวงกว้างสำหรับอุตสาหกรรมเหล็ก อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ รวมถึงไทยด้วย
จากข้อมูลของ UNITED STATES INTERNATIONAL TRADE COMMISSION พบว่า ในปัจจุบัน อัตราภาษีที่แท้จริงที่สหรัฐฯ มีการจัดเก็บกับทุกประเทศในสินค้า เหล็กและเหล็กกล้า ผลิตภัณฑ์จากเหล็ก และอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ อยู่ที่ 2.4% 7.7% และ 7.2% ตามลำดับ
ประเทศผู้นำเข้าสำคัญ ๆ ของสหรัฐฯ เช่น แคนาดา เม็กซิโก และเกาหลีใต้ มีระดับอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯจัดเก็บจริงอยู่ในระดับต่ำ (รายละเอียดตามตารางที่ 1) ซึ่งเมื่อมีการขึ้นอัตราภาษีนำเข้า เพิ่มอีก 25% คาดว่าน่าจะส่งผลให้อัตราภาษีที่แท้จริงที่สหรัฐฯ ที่มีการจัดเก็บกับกลุ่มสินค้าดังกล่าว เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาจจะส่งผลกระทบกับราคาสินค้ากลุ่มนี้ภายในประเทศสหรัฐฯ ได้
เมื่อพิจารณาข้อมูลการนำเข้าของสหรัฐฯ ในสินค้ากลุ่มเหล็กและผลิตภัณฑ์ อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ พบว่า ภายหลังจากปี 2565 เป็นต้นมามูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นความพยายามที่จะลดความต้องการผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 กลุ่มนี้ลงอย่างต่อเนื่องโดยจากข้อมูลการนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้ของสหรัฐฯ จากประเทศต่าง ๆ พบว่ามีการนำเข้าจากแคนาดา จีน และเม็กซิโก เป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วน 22.4% 14.1% และ 11.3% ในขณะที่การนำเข้าจากไทยมีสัดส่วน 1.5% (รายละเอียดตามตารางที่ 2)
สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น คาดว่าจะสงผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่
1. ผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ของไทยไปยังสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลจากความต้องการสินค้าทั้ง 3 กลุ่มของไทยในตลาดสหรัฐฯมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา สอดคล้องกับการลดลงของระดับราคานำเข้าสินค้าทั้ง 3 กลุ่ม ซึ่งส่งผลให้มูลค่า
การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในสินค้ากลุ่มนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เดิมอัตราภาษีที่แท้จริงที่สหรัฐฯ เก็บกับไทยในสินค้าทั้ง 3 กลุ่มนี้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศผู้นำเข้าในตลาดสหรัฐฯ อื่น ๆ (รายละเอียดตามตารางที่ 1) ซึ่งหากมีการขึ้นอัตราภาษีนำเข้า 25% คาดว่าระดับราคาสินค้าของไทยทั้ง 3 กลุ่มที่เข้าไปขายในตลาดสหรัฐฯมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
2. ผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าจากจีนของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากผลผลิตเหล็กภายในประเทศของจีนยังคงอยู่ในระดับสูง โดยในปี 2567 จีนผลิตเหล็กเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้ผลผลิตเหล็กจากจีนอยู่ที่ระดับ 2,053,977 ตัน ซึ่งอยู่ในระดับที่ยังสูงมากอย่างไรก็ดี ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยก็มีความพยายามที่จะลดระดับการน าเข้าสินค้ากลุ่มเหล็กและผลิตภัณฑ์ อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์จากจีนลง โดยจะเห็นได้ว่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มเหล็กและเหล็กกล้า จากจีนมาไทยนั้นลดลง 15.0% อย่างไรก็ดี ในส่วนของการส่งออกในกลุ่มของผลิตภัณฑ์จากเหล็ก (HS73) และกลุ่มอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ ยังคงเพิ่มขึ้น 0.8% และ 17.6% ตามลำดับ
ผลของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ขึ้นอีก 25% ของสหรัฐฯ จะส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มนี้ของสหรัฐฯมีแนวโน้มลดลง และทำให้อุปทานส่วนเกินของสินค้ากลุ่มนี้ที่ผลิตจากประเทศต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก เช่น จีนซึ่งระดับอุปทานส่วนเกินดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความผันผวนของระดับราคาเหล็กตลอดจนภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็ก อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ทั่วโลกในระยะต่อไปด้วย
จีนงัดมาตรการตอบโต้ทางการค้า
เมื่อ 4 ก.พ. 68 จีนประกาศมาตรการตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ ภายหลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปจากจีนเพิ่มขึ้น 10% ส่งผลให้จีนประกาศขึ้นภาษีสินค้าน าเข้าจากสหรัฐฯ โดยขึ้นอัตราภาษี 15% กับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และภาษี 10% กับน้ำมันดิบ อุปกรณ์ทางการเกษตร และรถยนต์บางประเภท และให้มีผลบังคับใช้ 10 ก.พ. 68
เมื่อพิจารณาข้อมูลการค้าในกลุ่มสินค้าดังกล่าว พบว่า จีนนำเข้าสินค้าดังกล่าวมูลค่าประมาณ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ ประกอบด้วย ถ่านหินและก๊าซมูลค่าประมาณ 4.5 พันล้านดอลลาร์ และน้ำมันดิบมูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 8.5% ของการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมดในปี 2567 และคิดเป็น 0.5% ของการนำเข้ารวมของจีน
ทั้งนี้ จีนไม่ได้นำเข้ากลุ่มสินค้าดังกล่าวจากสหรัฐฯ เป็นหลัก อาทิ ถ่านหิน (Coal) ส่วนใหญ่มีการน าเข้าจากออสเตรเลีย อินโดนีเซีย รัสเซีย และมองโกเลีย สะท้อนว่ามาตรการกีดกันทางการค้าของจีนต่อสหรัฐฯ มีผลอย่างจำกัดต่อเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาการส่งออกของสหรัฐฯ พบว่าสัดส่วนการส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีนในกลุ่มสินค้าดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.2% ของการส่งออกไปจีน และ 0.1% ของการส่งออกรวมของสหรัฐฯ จึงมีผลต่อสหรัฐฯ อย่างจำกัดเช่นกัน
นอกจากนี้ 4 ก.พ. 68 จีนได้ประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าแร่ธาตุสำคัญ 5 ชนิด ได้แก่ ทังสเตน เทลลูเรียม บิสมัท โมลิบดีนัม และอินเดียม รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยแร่ธาตุดังกล่าวเป็นวัตถุดิบสำาคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมอื่น ๆ
แม้ว่าจีนจะยังไม่ยกระดับมาตรการถึงการระงับการส่งออก แต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องขอใบอนุญาตส่งออก ซึ่งรัฐบาลจีนสามารถควบคุมการส่งออกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา จีนได้ประกาศห้ามส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง(Dual-use items: DUI) หรือสินค้าที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งทางด้านพาณิชย์และทางทหาร อาทิ แร่ธาตุแกลเลียม เจอร์เมเนียม แอนทิโมนีหรือพลวง และวัสดุแข็งพิเศษไปยังสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว เมื่อ ธ.ค. 67 ภายหลังจากสหรัฐฯ ประกาศใช้นโยบายควบคุมการค้าในภาคเซมิคอนดักเตอร์ต่อจีน
เมื่อพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับประกาศทั้งสองฉบับ พบว่า ประเทศคู่ค้าสำคัญ 5 อันดับแรกของจีนที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มสินค้าแร่สำคัญสูงสุดในปี 2567 ได้แก่ ฮ่องกง (30.7%) เกาหลีใต้ (23.7%) ญี่ปุ่น (8.0%) ไต้หวัน (3.6%) และสหรัฐฯ (3.4%)
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาการนำเข้ากลุ่มสินค้าดังกล่าวของสหรัฐฯ พบว่า ประเทศคู่ค้าสำคัญ 5 อันดับแรกของสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนการนำเข้ากลุ่มสินค้าแร่สำคัญสูงสุดในปี 2567 ได้แก่ เม็กซิโก (31.6%) แคนาดา (12.5%) ญี่ปุ่น (8.7%) เกาหลีใต้ (8.3%) และจีน(7.2%)
สัดส่วนดังกล่าวสะท้อนว่า แม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่ได้มีการนำเข้าแร่ธาตุกลุ่มนี้จากจีนในสัดส่วนจำนวนมากที่สุด แต่ก็นับเป็นคู่ค้า 5 อันดับแรก เนื่องจากแร่ธาตุดังกล่าวนับเป็นวัตถุดิบสสำคัญสำหรับการผลิตวัตถุดิบต้นน้ำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
นอกจากนี้ จากข้อมูลของสำนักงานส ารวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) พบว่าในปี 2567 จีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายาก (Rare earths) คิดเป็นประมาณ 69.2% ของการผลิตทั้งโลก และมีสัดส่วนการสำรองแร่หายากประมาณ 48.9% ในขณะที่สหรัฐฯ มีสัดส่วนการผลิตแร่หายากเพียง 11.5%
ดังนั้น มาตรการควบคุมแร่หายากของจีนจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมสินค้าที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์อย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา: รายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4/2567
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ยกแรกกำแพงภาษีทรัมป์2.0 ส่งออกไทยได้ประโยชน์