การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งแรกของปี 68 เมื่อ 26 ม.ค. 68 ประเมินผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ในช่วงเดือนแรก ซึ่งมีการประกาศบังคับใช้ไปแล้วกับหลายประเทศ แต่ส่งผลกระทบกับไทยไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าของสหรัฐกับหลายประเทศ ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยกนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.00% โดยมองว่า “เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก แม้ว่าเศรษฐกิจจะได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการท่องเที่ยว”
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: ประชุมกนง.ครั้งหน้า 30 เม.ย. คาดคงดอกเบี้ยนโยบาย
“ไทย-อินเดีย” เสี่ยงเจอกำแพงภาษี
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ และโนมูระ โฮลดิงส์ มองตรงกันว่าไทยและอินเดียมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศว่าจะนำมาตรการดังกล่าวมาใช้กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ
สาเหตุที่ไทยและอินเดียตกเป็นเป้าหมายการขึ้นภาษี เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าที่เรียกเก็บจากสหรัฐฯ สูงกว่าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเป็นอย่างมาก แต่ในเดือนแรก สหรัฐฯยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด รวมถึงประเทศเป้าหมายและเกณฑ์ที่จะใช้พิจารณานอกจากการประกาศไปรอบแรก
นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่า อินเดียและไทยอาจเผชิญกับการถูกปรับขึ้นภาษี 4-6% หากสหรัฐฯ ตัดสินใจบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ เพื่อลดความแตกต่างทางด้านภาษี แต่คาดว่าอินเดียอาจแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ พลังงาน และเครื่องบินจากสหรัฐฯ
แนะรัฐบาลจับตาท่าที ‘สหรัฐฯ’ ใกล้ชิด
ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์สาขาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ระบุว่า หากพิจารณาแค่ในบริบทของการประกาศขึ้นภาษีสินค้าจาก 3 ประเทศ ตามที่ทรัมป์ประกาศ พบว่าไทยคงยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากไทยยังไม่ใช่เป้าหมายของการขึ้นกับแพงภาษีของทรัมป์ในรอบนี้
ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงเป้าหมายในการขึ้นภาษีสินค้าในรอบนี้ คือพิจารณาคำสั่งฝ่ายบริหารอย่างละเอียดแล้ว จะพบว่าทรัมป์ให้ความสำคัญไปที่ปัญหาคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและยาเสพติดมากกว่า โดยมีการกล่าวถึงความเสียเปรียบจากการค้ากับประเทศอื่นๆ ไม่มากนัก ดังนั้น ถ้ามองว่าในระยะแรกทรัมป์ให้ความสำคัญกับเรื่องคนเข้าเมืองและยาเสพติด มากกว่าเรื่องการค้าและการสร้างการผลิตในประเทศ ประเทศไทยก็อาจจะยังไม่ได้อยู่ในกลุ่มเป้าหมายในระยะแรก
อย่างไรก็ตาม การขึ้นภาษีสินค้ากับจีน 10% ที่ไม่ได้ถูกยืดเวลาออกไปเช่นในกรณีของภาษีต่อแคนาดาและเม็กซิโก อาจจะส่งผลต่อไทยโดยอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าของจีนที่อาจมีห่วงโซ่การผลิตอยู่ในไทย เนื่องจากเมื่อความสามารถในการส่งออกของจีนมีน้อยลง ก็อาจจะส่งผลต่อคำสั่งการผลิตในไทยในไทยได้
แม้จะรู้นโยบายทรัมป์ แต่คาดการณ์ได้ยาก
รัฐบาลไทยจะต้องตามดูความเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากว่ารัฐบาลทรัมป์มีลักษณะคาดการณ์ได้ยาก แม้ว่าเราอาจจะรู้คร่าว ๆ ถึงนโยบายที่ทรัมป์น่าจะประกาศใช้ แต่เราไม่มีทางรู้ได้ว่าทรัมป์จะประกาศใช้ในช่วงใด และในลักษณะใด
ก่อนหน้านี้มีสิ่งที่ทรัมป์ประกาศอยู่ 2 เรื่องที่อาจจะกระทบกับไทยโดยตรง นั่นคือทรัมป์จะขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ และมีมาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ และทรัมป์จะขึ้นภาษีสินค้าของบริษัทจีนแม้ว่าจะผลิตและส่งออกจากประเทศอื่น ทั้งสองกรณีนี้ ถ้าทรัมป์ประกาศใช้จริง ไทยก็อาจตกเป็นเป้าหมายได้
แต่เนื่องจากเราเห็นตัวอย่างจากกรณีของแคนาดาและเม็กซิโกแล้วจะพบว่า ทรัมป์ยังคงเชื่อในการเจรจา ดังนั้น หากเรารู้ว่าการขึ้นกำแพงภาษีนั้นมีเป้าหมายจริงๆ เป็นเรื่องอะไร ก็อาจเจรจากับสหรัฐฯ ในลักษณะยื่นหมูยื่นแมวได้ ในระยะยาว ไทยอาจจะต้องพยายามกระจายกระส่งออกไปยังประเทศต่างๆ มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพิงการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
“ทรัมป์มองว่าตัวเองเป็นนักเจรจา ดังนั้นในกรณีการชะลอการขึ้นภาษีสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาเป็นตัวอย่างชัดเจน สำหรับทรัมป์ การจะประสบความสำเร็จในการเจรจา จำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือที่ทำให้ตัวเองได้เปรียบมากที่สุด ในกรณีแคนาดากับเม็กซิโก ภาษีเป็นเครื่องมือสร้างความได้เปรียบของสหรัฐฯ ในการกดดันในทั้งแคนาดาและเม็กซิโกเอาจริงเอาจังในเรื่องคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและยาเสพติดมากขึ้น เนื่องจากทั้งสองประเทศนี้พึ่งพาทั้งการส่งออกและนำเข้าจากสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก และเมื่อทรัมป์บรรลุเป้าหมายทำให้ทั้งสองประเทศนี้สัญญาว่าจะรับผิดชอบในเรื่องคนเข้าเมืองและยาเสพติดมากขึ้น ทรัมป์จึงชะลอการขึ้นภาษีสินค้าออกไปก่อน”
คาดสหรัฐฯอาจบีบให้ไทยเร่งเจรจา
สำหรับการดำเนินนโยบายภาษีการค้าของสหรัฐฯ ที่มีขึ้นในช่วงเวลาที่ น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน และหารือกับ นายสี จิ้นผิง จะมีผลต่อรัฐบาลไทยหรือไม่นั้น จากท่าทีที่ใกล้ชิดกับจีนมากเกินไปอาจเรียกความสนใจจากสหรัฐฯ ให้ตระหนักถึงการเกินดุลการค้าของไทยกับสหรัฐฯ และการเป็นฐานการผลิตให้กับสินค้าของจีน
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่อยากให้กังวลในเรื่องท่าทีของไทยต่อจีนมากเกินไป ทั้งนี้ เนื่องจากถ้าดูลักษณะการดำเนินนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ จะพบว่าทรัมป์แทบจะไม่ดำเนินนโยบายกดดันประเทศที่เป็นมิตรหรือใกล้ชิดประเทศที่เป็นเป้าหมายโดยตรง แต่จะใช้มาตรการที่จัดการประเทศที่เป็นเป้าหมายโดยตรงมากกว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทรัมป์เองก็ไม่เคยมองว่าความเป็นพันธมิตรหรือเพื่อนในสังคมระหว่างประเทศมีความสำคัญและจีรังยั่งยืน
นอกจากนี้ การที่ทรัมป์ให้ความสำคัญกับการเจรจาที่เป็นแบบยื่นหมูยื่นแมวหรือ transactional อาจทำให้ไทยยังคงเจรจากับสหรัฐฯ ได้โดยเอาผลประโยชน์ โดยเฉพาะผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะมีท่าทีอย่างไรกับสีจิ้นผิง
“ท่ามกลางแรงกดดันทั้งจากสหรัฐและจีนในขณะนี้ ภาคธุรกิจอาจจะต้องจับตาปฏิกิริยาระหว่างทั้งสองประเทศนี้อย่างใกล้ชิด หากสหรัฐฯ ยังไม่ได้มีมาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีนที่ผลิตและส่งออกจากประเทศอื่นด้วย ไทยก็อาจจะยังได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีนอยู่ อย่างไรก็ดี ในระยะยาวไทยอาจจะต้องมองหาตลาดอื่นๆ นอกจากสหรัฐฯ และจีนเอาไว้ด้วยเช่นกัน”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
เดือนแรกทรัมป์ 2.0 กระทบอะไรกับไทย ทั้ง”ทางตรง-ทางอ้อม