ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเดินหน้า “สงครามการค้า” เพื่อพา “อเมริกาสู่ยุคทอง” ตามนโยบาย America First หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. 68 โดยสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 20% และสหรัฐจะเริ่มใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.
การประกาศใช้มาตรการภาษีของสหรัฐ ทำให้ทั้ง 3 ประเทศออกมาตอบโต้ทันที โดยจีนประกาศขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯทันที ซึ่งเรียกเก็บภาษีบางรายการจากสหรัฐฯในอัตรา 10-15% ซึ่งครอบคลุมสินค้าจำพวกอาหาร และสินค้าเกษตร เช่น เนื้อไก่ ผ้าฝ้าย รวมถึงถั่วเหลืองที่เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือของจีนในการตอบโต้สหรัฐฯ เมื่อสงครามการค้ารอบก่อน โดยถั่วเหลืองเป็นสินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐฯ มากที่สุด และสหรัฐฯ เป็นแหล่งนำเข้าถั่วเหลืองอันดับ 2 ของจีน
นักวิเคราะห์มองว่า “สงครามการค้า”ในครั้งนี้ จะเป็นสงครามการค้าครั้งประวัติศาสตร์ และส่งผลกระทบในวงกว้างมาก หากไม่สามารถตกลงกันได้ และหากสหรัฐฯเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทุกประเทศในเดือนเม.ย. 68
แม้ว่าจะมองกันว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็น “นักต่อรอง” จากนโยบายที่ประกาศออกไป แต่ความกังวลต่อตลาดก็เกิดขึ้นวงกว้าง ส่งผลให้ตลาดหุ้นและตลาดเงินปั่นป่วนทุกครั้งที่สหรัฐฯขยับตัว จนมีการ “ปล่อยข่าว”ออกมาเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวน
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ จะขึ้นภาษีสินค้าหลายกลุ่มกับคู่ค้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตในสหรัฐฯ นอกเหนือไปจากการตอบโต้ทางภาษีที่จะทยอยประกาศออกมา
ไทม์ไลน์การขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่ามองว่ามาตรการทางภาษีของสหรัฐฯจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกใน 7 กลุ่มสินค้า ซึ่งสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออก 7 ประเภทสินค้าหลัก โดยส่งออกจากไทยพึ่งพาสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูงราว 34% ของการส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปตลาดโลก
ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีอะไรไปแล้วบ้าง ?
เฉพาะเจาะจงคู่ค้า : สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปเพิ่ม 10% จากจีน เมื่อ 4 ก.พ. 68 และเก็บเพิ่มอีก 10% เมื่อ 4 มี.ค. 68 ขณะเดียวกันก็จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไป 25% กับเม็กซิโก และแคนาดา (ยกเว้นกลุ่มพลังงานจากแคนาดา ขึ้น 10%) ในวันที่ 4 มี.ค. หลังเลื่อนมา 1 เดือน
ทุกคู่ค้า : สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม 25% ในวันที่ 12 มี.ค. และเตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% วันที่ 2 เม.ย. พร้อมระบุถึง เซมิคอนดักเตอร์ ยา ไม้แปรรูป และทองแดง ซึ่งยังต้องรอการยืนยัน
นอกจากนี้ ทางการสหรัฐฯ กำลังจัดทำผลการศึกษา Reciprocal Tariff หรือภาษีต่างตอบแทน ซึ่งจะทยอยประกาศตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.
ทำไมเลือกปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเจาะจงบางรายการ ?
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สหรัฐฯ เลือกจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเฉพาะเจาะจง 7 ประเภทสินค้า ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ยา ไม้แปรรูป ทองแดง ก่อนสินค้าอื่นๆ เป็นเพราะ 3 เหตุผลคือ
- สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้ากลุ่มนี้ในมูลค่าสูงเป็นส่วนใหญ่
- อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่าคู่ค้า
- สหรัฐฯ ต้องการสนับสนุนให้เกิดการผลิตในประเทศมากขึ้น โดยสินค้ากลุ่มนี้ มีซัพพลายเชนที่สามารถต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เป็นยุทธศาสตร์เป้าหมาย ขณะที่ สหรัฐฯ มีความแข็งแกร่ง/เคยผลิตได้แต่เริ่มเสี่ยงจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
สินค้าอะไรบ้างที่ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ?
ไทยส่งออกสินค้า 7 ประเภทไปสหรัฐฯ มีมูลค่าคิดเป็น 21% เทียบกับที่ส่งออกไปตลาดโลก หรือ ประมาณ 1 ใน 5 ของการส่งออกของไทยใน 7 ประเภทสินค้า เป็นรองเวียดนาม (25%) แต่มากกว่ามาเลเซีย (15%) และอินโดนีเซีย (9%) ทำให้บทบาทตลาดสหรัฐฯมีความสำคัญ
ใน 7 ประเภทสินค้า เซมิคอนดักเตอร์ (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ส่งออกจากไทยพึ่งพาสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูงราว 34% ของการส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปตลาดโลก รองลงมาคือ เหล็กและผลิตภัณฑ์ ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วน 18% และอะลูมิเนียม ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วน 15%
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่งออกจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯในสัดส่วนสูง
หากสหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้าเหล่านี้ จะเกิดอะไรขึ้น?
ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ผลักดันให้สหรัฐฯ เร่งนำเข้าก่อนอัตราใหม่มีผลบังคับใช้ (Front-loading) แต่การเร่งนำเข้าในรอบนี้ จะมีความไม่แน่นอนแปรผันตามการเจรจาต่อรอง และอาจมีกรอบเวลาที่สั้นกว่าครั้งก่อนๆ ที่ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับกระบวนการไต่สวนและการวินิจฉัย เช่น กรณีโซลาร์ ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นมากเป็นเวลากว่า 1 ปีครึ่งก่อนคำตัดสินเรื่องการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-Circumvention) จะได้ข้อสรุป จากนั้นการส่งออกก็ชะลอตัวลง
ราคาสินค้ามีแนวโน้มปรับขึ้นตามภาษี อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ จึงอาจไม่ปรับลดลง และเป็นปัจจัยรั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ขณะที่ ซัพพลายเชนที่ใช้สินค้าเหล่านี้เป็นวัตถุดิบ คงต้องเปรียบเทียบต้นทุนจากแหล่ง Sourcing ต่างๆ หรืออาจพิจารณาปรับเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบอื่นแทน เช่น Coca-Cola ระบุ จะพิจารณาปรับบรรจุภัณฑ์จากกระป๋องอะลูมิเนียมมาเป็นขวดพลาสติกมากขึ้น เป็นต้น
ติดตามความชัดเจนของพิกัดสินค้าและอัตราภาษีของสหรัฐฯ รวมถึง Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯ จะเก็บแต่ละคู่ค้า ตลอดจนท่าทีของประเทศต่างๆ ซึ่งสถานการณ์ที่ยังไม่นิ่งนี้ ทำให้ยากจะประเมินขนาดผลกระทบได้อย่างแน่ชัด แต่แน่นอนว่า สงครามการค้าที่ขยายเป็นวงกว้าง จะเป็นผลลบต่อการค้าและการลงทุนของซัพพลายเชนทั่วโลก
ทั้งนี้ Yale University ประเมินเมื่อ 3 มี.ค. 68 หากสหรัฐขึ้นภาษี 20% กับจีน และ 25% กับแคนาดาและเม็กซิโก ในเบื้องต้นจะกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ 0.6% ในปี 2568 ขณะที่ World Bank ประเมินเมื่อเดือนม.ค. 68 ระบุ การขึ้นภาษี 10% ของสหรัฐฯ ต่อคู่ค้าต่างๆ จะฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างน้อย 0.2%
ไทยได้รับผลกระทบอย่างไร ?
ผลทางตรง
การส่งออกของไทย ในภาพรวมนับว่ามีพอสมควร เนื่องจากมูลค่าการส่งออก 7 ประเภทสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ รวมอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็น 40% ของการส่งออกทุกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ และคิดเป็น 7.4% ของมูลค่าการส่งออกทุกสินค้าของไทยไปตลาดโลกในปี 2567
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชน เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก ยิ่งเมื่อในระยะหลัง การลงทุนในไทยส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนจีน ทำให้ไปข้างหน้ามีความเสี่ยงที่สินค้าส่งออกจากไทยจะถูกกีดกันมากขึ้น ทั้งนี้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องอุปกรณ์ส่งรับเสียง/ภาพ/ข้อมูลอื่นๆ และอุปกรณ์สำหรับสื่อสารในระบบเครือข่ายทางสาย/ไร้สาย ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และกลอุปกรณ์กึ่งตัวนำ หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องส่งสำหรับวิทยุ/กล้อง เป็นต้น
ส่วนอีก 6 ประเภทสินค้า คงได้รับผลกระทบจากความต้องการนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ลดลง แต่คงจำกัดกว่า เนื่องจากตลาดส่งออกมีการกระจายตัว โดยพึ่งพาจีนและอาเซียนด้วย จึงช่วยบรรเทาผลกระทบทางตรงได้บางส่วน นอกจากนี้ บางประเภทสินค้าอาจได้รับอานิสงส์จากส่วนต่างอัตราภาษีนำเข้าใหม่เทียบกับเดิมที่น้อยกว่าคู่ค้าอื่น เช่น อะลูมิเนียม ที่เดิมไทยถูกเก็บภาษี 10% อยู่แล้ว หากทุกประเทศโดน 25% เท่ากัน อะลูมิเนียมจากไทยจะมีส่วนต่างน้อยกว่าคู่ค้าอื่น
ผลทางอ้อม
จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และการที่คู่ค้าต่างๆ ต้องหาตลาดส่งออกทดแทนสหรัฐฯ จะทำให้ผู้ผลิตไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในตลาดไทยและตลาดส่งออกอื่นๆ
ถัดจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนจากแผนภาษีของทรัมป์ที่รอข้อสรุป แต่เบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะกระทบการส่งออกของไทยราว 0.5% และเราได้คำนึงถึงผลกระทบนี้แล้วระดับหนึ่งในประมาณการปี 2568
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ไทยติดอันดับ 2 ในอาเซียน เป้าหมายนโยบายทรัมป์2.0