กระทรวงกลาโหมจัดทำ “เอกสารยุทธศาสตร์และการพัฒนากองทัพ พ.ศ. 2569 – 2580” หรือ “Ministry Of Defence White Paper 2026 – 2037” มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กระทรวงกลาโหมมีกรอบแนวทางในการพัฒนาทั้ง ด้านการเตรียมกำลังและการใช้กำลังที่ชัดเจน นำไปสู่การจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับ ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ อย่างเป็นรูปธรรม
แนวความคิดในการดำเนินการที่สำคัญ ดังนี้
1) การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงกลาโหม ให้มีขนาดเหมาะสมกับภารกิจและภัยคุกคาม รวมทั้งการบรรจุข้าราชการพลเรือนกลาโหมในอนาคต
2) ความทันสมัย โดยการพัฒนาหลักนิยมการรบของกองทัพเพื่อรองรับปฏิบัติการร่วมในหลายมิติ (Multi – Domain Operations) ระบบปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network Centric Operations: NCO) และนวัตกรรมและ เทคโนโลยีเกิดใหม่ (Emerging Technology) มาสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม
3) การพัฒนาศักยภาพ และขีดความสามารถ ประกอบด้วย
- ด้านกำลังพล มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถกำลังพลให้มีความรู้ และทักษะเพียงพอกับภารกิจที่ได้รับมอบ นำเทคโนโลยีมาชดเชยกับกำลังพลที่ปรับลดลง พัฒนาระบบกำลังพลสำรอง โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
- ด้านยุทโธปกรณ์ มุ่งเน้นการซ่อมปรับปรุงยุทโธปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งาน การจัดหายุทโธปกรณ์ที่สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และหลักนิยมการรบ ที่เปลี่ยนแปลงไป และการพัฒนาระบบการจัดหายุทโธปกรณ์แบบรวมศูนย์
- การบริหารราชการทั่วไป มุ่งเน้นการนำ เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหน่วยงานสังกัดในกระทรวงกลาโหม และการบริหาร งบประมาณ ที่มุ่งเน้นให้สามารถดำเนินการได้อย่างประหยัด โปร่งใส มีประสิทธิภาพ สามารถดำเนินการ ตรวจสอบได้
การทบทวนอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม ประกอบด้วย
- อำนาจหน้าที่ที่ระบุไว้ตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาขอบเขตและอำนาจหน้าที่ ตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 52 พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 มาตรา 8 และพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 มาตรา 8 (อำนาจหน้าที่ ของกระทรวงกลาโหม)
- การสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านความมั่นคง ที่มีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญ คือ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข” ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ที่มีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญ คือ “ประเทศไทยเป็นประเทศ ที่พัฒนาแล้ว เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน และมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น” และยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ที่มีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญ คือ “การตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส ผ่านการมีหน่วยงานภาครัฐ ที่มีโครงสร้างและภารกิจที่เหมาะสม และวัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์และผลประโยชน์ของส่วนรวม เปิดโอกาสให้ทุก ๆ ภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการบริการสาธารณะ ตรวจสอบการดำเนินการของหน่วยงาน”
- การสนับสนุนนโยบายรัฐบาล และนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาทิการปรับปรุง โครงสร้างการจัดกองทัพ อัตรากำลังพล และยุทโธปกรณ์ให้มีความทันสมัยและสามารถตอบสนอง ต่อการคุกคามและภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ในศตวรรษที่ 21 การปรับรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ การปรับปรุงการฝึกนักศึกษาวิชาทหารให้เป็นแบบสร้างสรรค์ และการปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมให้มีความทันสมัย โปร่งใส ตรวจสอบได้
เกณฑ์ทหาร
กฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับการรับราชการทหาร คือ พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2479 โดยกำหนดให้ชายสัญชาติไทยที่มีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์และไม่ได้เข้ารับการศึกษาเป็นนักศึกษาวิชาทหาร (รด.) จะต้องถูกเรียกไปเกณฑ์ทหาร และบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า “บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รับราชการทหาร… ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ” หน้าที่การรับราชการทหารจึงเป็นหน้าที่ของประชาชนชาวไทย
อย่างไรก็ตาม การบังคับเกณฑ์ทหารในปัจจุบันถูกตั้งคำถามและเป็นที่ถกเถียงว่าสมควรที่จะยกเลิกการเกณฑ์ทหารหรือไม่ จากปัญหาต่าง ๆ เช่น ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม การรับใช้ทหารชั้นผู้ใหญ่แทนการรับใช้ชาติ โดนวัฒนธรรมอำนาจนิยมกดทับ ขาดสารอาหารจากอาหารการกินที่ไม่ได้มาตรฐาน หลายครอบครัวขาดเสาหลักในการหารายได้ สูญเสียโอกาสหลายอย่างในชีวิต รวมไปถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน การใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกาย จนไปถึงการเสียชีวิตของทหารเกณฑ์ในค่าย
นโยบายหาเสียงยกเลิกเกณฑ์ทหาร
ในช่วงหาเสียงก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 2566 หลายพรรคการเมืองชูนโยบายแก้ไข-ปรับปรุงการเกณฑ์ทหาร
- • ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ เช่น พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย
- • ปรับปรุงการเกณฑ์ทหาร เช่น พรรคชาติพัฒนากล้า
- • แบ่งสัดส่วนการเกณฑ์ทหาร แต่ยังคงระบบการเกณฑ์ทหารไว้ เช่น พรรครวมไทยสร้างชาติ
อย่างไรก็ตาม มีหลายพรรคการเมืองที่ไม่มีการพูดถึงนโยบายเกี่ยวกับการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เช่น พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย
8 พรรคลงนาม MOU ตั้งรัฐบาล
วันที่ 22 พ.ค. 2566 พรรคการเมืองรวม 8 พรรค ประกอบไปด้วย พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเป็นธรรม และพรรคสังคมใหม่ ลงนามข้อตกลงร่วม (MOU) จัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล ผลักดันเนื้อหา 23 ข้อและ 5 ประเด็นแนวทางบริหารประเทศที่ทุกพรรคเห็นพ้องร่วมกัน โดยมีการพูดถึงการเปลี่ยนการเกณฑ์ทหาร ในข้อที่ 4 ดังนี้
4. เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ เป็นระบบสมัครใจ ทั้งนี้ยังคงไว้ซึ่งการเกณฑ์ทหารในยามศึกสงคราม
แม้ในท้ายที่สุด พรรคก้าวไกลก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และพรรคเพื่อไทยแถลงขอถอนตัวออกจาก MOU ดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2566 โดยพรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมใหม่โดยไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม ในการแถลงดังกล่าวมีการพูดถึงการสานต่อนโยบายการเปลี่ยนการเกณฑ์ทหารเป็นระบบสมัครใจ ดังนี้
นโยบายที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมได้นำเสนอต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน อาทิ … เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับเป็นระบบสมัครใจ … ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะผลักดันร่วมกับพรรคร่วมเพื่อให้นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนดำเนินการได้ประสบความสำเร็จ
แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 โดยระบุเรื่องการเกณฑ์ทหารและการเรียน รด. ว่า
รัฐบาลจะร่วมกันพัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศพร้อมกับประชาชน โดย
1. จะเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ
2. ปรับปรุงการฝึกนักศึกษาวิชาทหารหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนให้เป็นแบบสร้างสรรค์
สถานการณ์ปัจจุบัน
สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ในรายการคุยนอกกรอบกับสุทธิชัยหยุ่น เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2567 ว่า ไม่สามารถออกกฎหมายยกเลิกการเกณฑ์ทหารเลยได้ โดยมองว่าจะเป็นการปิดโอกาสในกรณีที่มีเรื่องเร่งด่วนหรือสงคราม โดยรัฐบาลจะใช้วิธีการสมัครใจแทน เพื่อลดสัดส่วนจำนวนผู้ถูกบังคับเกณฑ์ทหาร และกระตุ้นให้คนมาสมัครผ่าน ระบบสมัครใจ มากขึ้น แต่หากมีผู้สมัครใจแล้วกำลังพลยังขาด ก็จะมีการเกณฑ์ทหารเพื่อให้ได้ถึงตามเป้าที่กำหนดไว้
รมว.กลาโหม กล่าวต่อว่า การรณรงค์ที่ผ่านมาได้รับความสนใจ โดยมีผู้เข้ามาสมัครจำนวนมากเมื่อเทียบกับช่วงปีที่แล้ว และคาดอีก 2-3 ปี จะไม่มีการเกณฑ์ทหาร แต่จะมาจากระบบสมัครใจเพียงอย่างเดียว ด้วยสวัสดิการที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น และเงินเดือนที่ได้เต็มไม่มีการหัก
อย่างไรก็ตามนโยบายดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลไม่ได้มีการผลักดันนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารอย่างจริงจังเท่าที่ควรตามที่ได้มีการหาเสียงไว้ และทำให้ประชาชนต้องอยู่กับระบบการเกณฑ์ทหารเหมือนเดิม
อีกหนึ่งในความเคลื่อนไหวคือ โครงการพลทหารปลอดภัย จากคณะกรรมาธิการการทหาร (กมธ.การทหาร) โดยเกิดจากการที่ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่สามารถยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้ จึงจำเป็นต้องมีการคุ้มครองสิทธิ ศักดิ์ศรี และความปลอดภัยของพลทหาร โดยธนเดช เพ็งสุข สส.พรรคก้าวไกล และในฐานะรองปธ.กมธ.การทหาร ได้แถลงความคืบหน้าโครงการดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2567
ทาง กมธ.การทหารมีข้อมุ่งหวังต่อโครงการ ดังนี้
- 1. รับข้อร้องเรียนผ่านช่องทาง Line OA ของกมธ.การทหาร โดยจะมีการเข้าช่วยเหลือแก้ไขวิกฤตในทันที กรณีที่พบว่าพลทหารถูกทำร้ายซ้อมทรมาน ถูกธำรงวินัยอย่างผิดระเบียบ หรือถูกกระทำที่ไม่เป็นธรรม โดยจะประสานงานโดยตรงกับกระทรวงกลาโหม หรือตัวแทนเหล่าทัพที่ประจำ กมธ. เพื่อระงับเหตุที่เกิดขึ้น
- 2. หากการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นและไม่สามารถยับยั้งได้ หรือเป็นเหตุให้เกิดการจำหน่าย หรือเกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของพลทหาร จะมีการประสานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือสำนักการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีกับนายทหารผู้กระทำและผู้บังคับบัญชา ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
- 3. นำพลทหารที่หนีทหารกลับสู่กรมกองด้วยความปลอดภัย เพื่อคืนสิทธิ์คืนศักดิ์ศรีในการใช้ชีวิต โดยกำลังพลที่หนีทหารสามารถประสานงานที่ กมธ.การทหาร ได้
- 4. นโยบายนำจิตแพทย์เข้าพบพลทหาร จากเหตุการณ์พลทหารกระทำอัตวินิบาตกรรมระหว่างอยู่ในค่ายทหารเนื่องจากความเครียดและวิตกกังวล เพื่อให้กระทรวงกลาโหมได้ดูเป็นแบบอย่างในการนำไปปรับปรุงพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพล
ธนเดช กล่าวต่อว่า พรรคก้าวไกลมีการยื่นร่างกฎหมาย 2 ฉบับเพื่อยกเลิกการเกณฑ์ทหาร โดยฉบับแรกเป็นร่างการเงิน ซึ่งนายกฯ ยังไม่เซ็นรับรอง (ณ วันที่ 1 เม.ย. 2567) และอีกฉบับซึ่งไม่เป็นร่างการเงิน ซึ่งจะมีการแก้ไข พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ตัดสิทธิกองทัพในการบังคับคนไปเป็นทหารในห้วงเวลาที่ไม่ใช่สถานการณ์รบ-สงคราม เพื่อให้กองทัพประกอบด้วยคนที่สมัครใจเท่านั้น
ธนเดช อธิบายว่า ปัจจุบันมีค่าเฉลี่ยความต้องการกำลังพลประมาณ 90,000 คนต่อปี มีคนสมัครประมาณ 30,000 คน และมีคนต้องเสี่ยงจับใบดำใบแดงประมาณ 60,000 คนต่อปี โดยเสนอให้กองทัพทำ 2 เงื่อนไขหลัก คือ
- 1. ลดยอดกำลังพล เช่น จากการไปอยู่บ้านนาย โดยคาดว่าจะลดยอดกำลังพลเหลือ 50,000 – 60,000 คน
- 2. เพิ่มสวัสดิการให้กับคนที่สมัครใจ เช่น การยกระดับคุณภาพชีวิต การประกันรายได้ หรือการคุ้มครองความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน
ในวันเดียวกัน (1 เม.ย. 2567) พล.ร.ต.ธนิตพงศ์ สิริเศวตศักดิ์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ในปี 2567 ดังนี้
โดยยอดที่เรียกเกณฑ์ฯ จำนวนประมาณ 70,000 คน แบ่งเป็น
- • ทหารประจำการที่แจ้งความประสงค์ขอเลื่อนกำหนดเวลาปลด (หรือสมัครอยู่ต่อ) ประมาณ 5,000 คน
- • คาดว่ามีผู้สมัครในระหว่างการตรวจเลือก ณ หน่วยสัสดี ประมาณ 25,000 คน (จากสถิติปี 2566 มีจำนวน 25,461 คน)
- • ดังนั้น คาดการณ์ว่าจะมีผู้ที่ตรวจเลือกด้วยวิธีการจับใบดำใบแดง ประมาณ 40,000 คน
แหล่งที่มา
- • การเกณฑ์ทหารในราชอาณาจักรไทยตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497
- • เลือกตั้ง66: ส่องนโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหาร-ปฏิรูปกองทัพ พรรคไหนกล้าท้าชน
- • เลือกตั้ง 66 : นโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหาร 9 พรรคการเมือง พรรคไหนยกเลิก พรรคไหนเงียบ
- • เลือกตั้ง 66 เปรียบเทียบนโยบายเกณฑ์ทหาร พรรคไหนยกเลิก-พรรคไหนเงียบงัน
- • เลือกตั้ง2566 : วินาทีประวัติศาสตร์ 8 พรรคลงนาม MOU ตั้ง “รัฐบาลก้าวไกล” ตัดมาตรา 112
- • เปิดอก รมว.กลาโหม ปฏิรูปกองทัพฉบับ “สุทิน คลังแสง (สารคาม)”
- • ก้าวไกลเปิดจุดยืนเกณฑ์ทหาร ก้าวแรกต้องปลอดภัย ก้าวต่อไปยกเลิกการเกณฑ์
- • ยอดเกณฑ์ทหารปี 67 จำนวน 8.5 หมื่น เหลือจับใบแดงใบดำ 4 หมื่น