คาร์บอนเครดิต คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด หรือกักเก็บได้จากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกลดก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ โดย 1 คาร์บอนเครดิต เท่ากับการลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) สามารถนำคาร์บอนเครดิตไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น แลกเปลี่ยน ซื้อ-ขายในตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นกลไกตลาดที่นำมาใช้เป็นแนวทางเพื่อกระตุ้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในปี 2565 ไทยมีการพัฒนามาตรฐานรับรองคาร์บอนเครดิตของประเทศขั้นสูงภายใต้อำนาจขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (TGO) หรือ อบก. ชื่อ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดภายใต้ความตกลงปารีสข้อ 6 และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ ต่อมา อบก.ได้พัฒนาศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิต ชื่อ FTIX เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตแห่งชาติแห่งแรกของไทย
ที่ผ่านมาตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจประเทศไทย มีปริมาณการซื้อขายแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ปี 2565 อยู่ที่ 1,187,327 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปี 2566 อยู่ที่ 845,253 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และปี 2567 อยู่ที่ 686,079 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ลดก๊าซฯแบบสมัครใจฉุดตลาดซบเซา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกบทวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ตลาดคาร์บอนเครดิตไทยมีสภาพซบเซา เพราะด้วยรูปแบบตลาดคาร์บอนของประเทศไทยมีลักษณะเป็นกลไกภาคสมัครใจ นอกจากทำเพื่อ CSR หรือ เป็นนโยบายภายในเท่านั้น ส่งผลให้ผู้ซื้อขาดแรงจูงใจในการซื้อ ดังนั้นคาร์บอนเครดิตที่ซื้อขายกันส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงมีราคาซื้อขายค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับตลาดที่เป็นภาคบังคับ
ผลสำรวจพบว่ามีเพียง 20-25% ของผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น ที่สามารถตกลง ราคาที่ยินดีซื้อและยินดีขายได้ตรงกัน ที่ราคาระหว่าง 51 – 200 บาทต่อตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า แต่ถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับตลาด ภาคบังคับในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามหลายโครงการสามารถขายได้ในราคาสูงใกล้เคียงตลาดต่างประเทศ เนื่องจากสามารถสร้างคุณค่า อย่างผลประโยชน์ร่วมของโครงการต่อชุมชน (Co- benefit) เช่น ป่าไม้ การจัดการขยะมูลฝอย เป็นต้น ซึ่งผู้ซื้ออาจให้คุณค่า และทำให้ผู้ขายสามารถ สร้างมูลค่าเพิ่มจากคาร์บอนเครดิตได้
การเพิ่มมูลค่าคาร์บอนเครดิต
ผู้ขายไม่สามารถพึ่งพาความต้องการคาร์บอนเครดิตปริมาณมากจนกดดันให้ราคาขึ้นสูงได้ เนื่องจากการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ในรูปแบบสมัครใจ ดังนั้น หากผู้พัฒนาโครงการอยากขายคาร์บอนเครดิตให้ได้ราคาที่สูงขึ้น อาจพิจารณาใช้ปัจจัยเหล่านี้ เพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งอาจสรุปเป็นหัวข้อได้ดังนี้
1. Co-Benefit คือ ผู้พัฒนาโครงการอาจเลือกพัฒนาโครงการที่ผู้ซื้อให้ความสนใจ และสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ชุมชน เช่น ป่าไม้ การทำปุ๋ยหมัก การผลิต เชื้อเพลิงจากขยะมูลฝอย ซึ่งปัจจุบันโครงการประเภทดังกล่าวก็มีราคา ซื้อขายที่ราคาสูง
2. ช่วงเวลาของคาร์บอนเครดิตที่ได้รับรอง (Crediting Period) ปัจจุบันคาร์บอนเครดิตไม่มีอายุการใช้งานทำให้เกิดการบิดเบือน ตลาด (Market Distortion) จาก 2 กรณี ได้แก่ (1) คนซื้อเลือกซื้อตุน เฉพาะที่ราคาถูก และ (2) ผู้ขายไม่ยอมนำคาร์บอนเครดิตมาขายเพราะ หวังให้ราคาสูงขึ้นจนปริมาณ supply ล้นตลาด
แต่ในอนาคตจะมีข้อกำหนดการใช้คาร์บอนเครดิตชดเชยในบาง มาตรการ ที่อนุญาตใช้คาร์บอนเครดิตรุ่นใหม่เท่านั้น เช่น CORSIA เป็นต้น ดังนั้น การซื้อตุน หรือการสต็อกคาร์บอนเครดิตไว้ชดเชย หรือขายในอนาคตจะทำได้ยาก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการซื้อขายเครดิตรุ่นปัจจุบันมากขึ้น
3. ประเภทโครงการที่เป็นที่ต้องการ โดยการพัฒนาโครงการในประเภทที่ยังขาดแคลนส่งผลให้ราคาซื้อ ขายสูงขึ้นได้ตามหลักการ Demand-Supply เช่น โครงการประเภท ดักจับหรือดูดกลับก๊าซเรือนกระจกโดยใช้เทคโนโลยี เช่น Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS), Direct Air Capture (DAC) ซึ่งมีราคาสูงใกล้เคียงกับมาตรฐานอื่นในระดับโลกตามความต้องการในหน่วยงานที่ตั้งเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) แต่ไม่สามารถลดการใช้ GHG เองได้
แนะใช้กลไกภาคบังคับดันราคาคาร์บอนเครดิต
สุดท้ายนี้ นอกเหนือจากการดำเนินการของผู้พัฒนาโครงการ ภาครัฐและหน่วยงานสนับสนุนจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยผลักดันให้ราคาคาร์บอนเครดิตสูงขึ้นได้อีก โดยอาจพิจารณานำกลไกการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับมาใช้ เช่น ภาษีคาร์บอน ในรูปแบบที่อนุญาตให้สามารถใช้คาร์บอนเครดิตไปชดเชยได้ในช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่าน จะช่วยกระตุ้นตลาดคาร์บอนเครดิต และผลักดันราคาคาร์บอนในประเทศด้วยอีกทางหนึ่ง
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ไทยต้องลด 30-40% ตามมาตรการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- รู้จัก “คาร์บอนเครดิต” จูงใจเอกชนร่วมลดโลกเดือด
- ทำโครงการคาร์บอนเครดิตไทย ต้องลงทุนอะไรบ้าง
ที่มา : ตลาดคาร์บอน Carbon Market องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (TGO), จักรี พิศาลพฤกษ์ เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย