การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมสำเร็จถือเป็นพัฒนาการของกฎหมายไทย ที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น LGBTQIA+ ต่างยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการคุ้มครองสิทธิในการสมรสสร้างครอบครัว
สมรสเท่าเทียมเป็นอีกหนึ่งนโยบายหาเสียงแทบทุกพรรคการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง รวมถึงนโยบายของพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเป็นข้อเรียกร้องสำคัญของขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนและองค์กรพัฒนาเอกชนมาหลายปี นับตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวในปี 2555
แต่ก่อนหน้านั้นในปี 2544 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร.ต.อ. ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ มีแนวคิดเสนอให้คนรักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย หากแต่ถูกกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงจนต้องยุติลง
กฎหมายสมรสเท่าเทียมต้องรอมายาวนานกว่า 20 ปีกว่าจะออกมามีผลบังคับใช้ แต่ก็ยังมีข้อกฎหมายอื่นอีกมากที่จำเป็นต้องแก้ไข
อ่านเพิ่มเติม: สำรวจความเกลียดชัง LGBTQIA+ หลังกฎหมายสมรสเท่าเทียม
เสียงสะท้อนคู่สมรส LGBTQIA+
เสียงสะท้อนคู่สมรส LGBTQIA+ เป็นในทิศทางที่ดี ทั้งเรื่องคู่ความสัมพันธ์ที่มั่นคงขึ้นและการเข้าถึงสิทธิและโอกาสในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น หลังกฎหมายรับรองสิทธิ
วิลาวัลย์ ฤทธิวหันต์กับ ณัฐธยาน์ บุญญาเศรษฐี เป็นคู่สมรสที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานถึง 9 ปี ประกอบอาชีพอิสระและค้าขายร่วมกัน เล่าถึงชีวิตก่อนจดทะเบียนสมรสว่า ก่อนจดทะเบียนสมรสนั้น มีครั้งหนึ่งที่เจ็บป่วยหนัก แต่ไม่สามารถดำเนินการตัดสินใจแทน เซ็นยินยอมให้แพทย์รักษาพยาบาลได้ ต้องรอให้ญาติมาเซ็นชื่อแทน ซึ่งทำให้ชีวิตยากลำบากและเสียเวลาในการรักษา และก่อนหน้านั้นเคยจะซื้ออสังหาริมทรัพย์แต่ไม่สามารถกู้ร่วมกันได้
พอเมื่อได้จดทะเบียนสมรสกัน รู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะสามารถลงนามยินยอมให้ผ่าตัดแทนได้ เข้าถึงสิทธิในการรักษาพยาบาลในยามฉุกเฉินได้ และสบายใจอีกเรื่องที่ทรัพย์สินที่ร่วมสร้างร่วมหากันมา แม้ตอนนี้จะเป็นของใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ในอนาคตถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากไป อีกฝ่ายที่เหลือ จะได้มีอะไรรองรับชีวิตต่อ
ทางด้านความสัมพันธ์ชีวิตคู่ วิลาวัลย์กล่าวว่า “เราคบกันมานาน พอถึงวันวาเลนไทน์ เราก็จูงมือกันไปจดทะเบียนสมรสที่สำนักงานเขตแถวบ้าน รู้สึกได้เลยว่า เป็นครอบครัวกันมากขึ้น ความสัมพันธ์มันชัดเจนมากขึ้น หลังจากคบกันมา 9 ปี เราสามารถเขียนลงในเอกสารทุกอย่างได้ว่าเราอยู่ในสถานะ “สมรส” กัน เรามั่นใจในกันและกันมากขึ้น อุ่นใจกัรมากขึ้นเพราะมีกฎหมายมารองรับ พอคน 2 คนมันมั่นใจกัน ครอบครัวมันก็ไปในทิศทางเดียวกัน ช่วยกันทำมาหากิน ชีวิตมันก็ดีตามกันไป”
ณัฐธยาน์ บุญญาเศรษฐี กับ วิลาวัลย์ ฤทธิวหันต์
ฉัตรชัย เอมราช ทนายความและนักวิชาการอิสระ กับ พชิรา เอมราช พยาบาล เปรียบเทียบชีวิตก่อน-หลังสมรสเท่าเทียมว่า ก่อนมีสมรสเท่าเทียม เรียกได้ว่าไม่มีสิทธิอะไรเลย โดยเฉพาะสิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่าความรักของเรามีคุณค่ามีศักดิ์ศรีเท่ากับความรักของคนทั่วไป เดิมทีสายตาของคนในสังคมมักมองว่าความรักของพวกเรา เป็นเรื่องชั่วครู่ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่มีทางที่จะยังยืน
แต่หลังจดทะเบียนสมรสแล้ว เรามีศักดิ์ศรีเท่ากับคู่สมรสคู่อื่นๆ สามารถลางานมาหากันได้ อยู่ในหอพักด้วยกันได้ มีสิทธิในการกู้ร่วมสามารถซื้อบ้านด้วยกันได้ มีอนาคตร่วมกันมากขึ้น แต่ก่อนเคยมีความกังวลว่าครอบครัวจะไม่ยอมรับ แต่ต่อไปนี้ใครจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้แล้ว เพราะสมรสเท่าเทียมทำให้สิทธิของเราเป็นสิทธิที่ไม่ได้เกิดจากการยอมรับของใคร แต่มันเป็นสิทธิที่เกิดตามกฎหมาย
“ก่อนจดทะเบียนสมรส แค่แฟนผมจะลางาน มาธุระกับผม หัวหน้าเขาไม่ให้ลา บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน” ฉัตรชัยกล่าว
ฉัตรชัย เอมราช กับ พชิรา เอมราช
สำหรับ มัจฉา พรอินทร์ กับ วีรวรรณ วรรณะ ทั้งคู่เป็นนักพัฒนาและนักการศึกษาเฟมินิสต์ ทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น มูลนิธิสร้างสรรค์อนาคตเยาวชน และ International Family Equality Day กล่าวถึงชีวิตคู่ก่อนสมรสเท่าเทียมว่า ตลอดระยะที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา 15 ปี
“เราต้องอยู่กับความรู้สึกไม่มั่นคง มีความกังวลในใจเรื่องหลักประกันความมั่นคง เพราะว่าเรามีอาชีพที่ต้องเดินทางบ่อย หากเราเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้ว คู่ชีวิตและลูกเราจะไม่ได้รับมรดก เพราะแม้ทำประกันก็ไม่สามารถลงชื่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้รับผลประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยได้”
เสียงสะท้อนจากครอบครัว แม่-แม่-ลูก
คู่สมรส มัจฉา กับ วีรวรรณ เล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการรับบุตรบุญธรรมก่อนมีสมรสเท่าเทียมว่า เมื่อได้รับหลานสาวมาเลี้ยงเป็นลูก เป็นครอบครัว แม่-แม่-ลูก ที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในทางปฏิบัติเราทั้ง 2 คนคือแม่ ให้ลูกใช้นามสกุลเดียวกัน ไปร่วมกิจกรรมวันแม่ที่โรงเรียนลูก เลี้ยงดูมาโดยตลอด แต่ในทางกฎหมาย ทั้งคู่ไม่ได้สิทธิในฐานะแม่ และไม่สามารถรับมาเป็นบุตรลูกบุญธรรมได้เพราะยังไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ และยังไม่ได้รับการรับรองให้เป็นคู่สมรสตามกฎหมาย
เมื่อเอกสารราชการต่างๆ ไม่ได้เป็นแม่ลูกกัน ไม่มีสิทธิในการเซ็นยินยอมให้ทำพาสปอร์ต ทำให้การเดินทางไปต่างประเทศด้วยกันเป็นเรื่องยุ่งยาก แม้แต่การทำบัตรประชาชนก็เป็นเรื่องยาก รวมทั้งไม่สามารถเซ็นยินยอมผ่าตัดรักษาพยาบาลในกรณีประสบอุบัติเหตุอยู่ในห้องฉุกเฉิน
และเพราะเป็นครอบครัวหญิงรักหญิงท่ามกลางความหมายของครอบครัวที่ยังเป็นระบบสองเพศ ที่ต้องมีพ่อ-แม่-ลูก ทำให้ครอบครัวของเธอแปลกแยกไปจากครอบครัวคนอื่น ถูกคนในชุมชนคุกคาม ราวๆ ปี 2555 เคยถูกลอบวางเพลิงบริเวณรอบบ้านกลางดึก มากกว่า 5 ครั้งภายใน 10 วัน เธอเชื่อว่า เป็นฝีมือคนที่ต่อต้านครอบครัวเธอ ต้องการสร้างความหวาดกลัวและย้ายออกไปจากพื้นที่ เรื่องนี้กลายเป็นบาดแผลในใจเรื่อยมา
มัจฉา กล่าวถึงชีวิตหลังสมรสเท่าเทียมว่า “พอสมรสเท่าเทียมผ่าน ร่องรอยบาดแผลความเจ็บปวดจากการถูกเลือกปฏิบัติ จากการถูกกีดกันสิทธิในการก่อตั้งครอบครัว ได้รับการเยียวยา ซึ่งเราและคนในรุ่นต่อไป จะไม่ต้องเจ็บปวดจากการถูกกีดกันเลือกปฏิบัติจากการไม่มีสมรสเท่าเทียมแล้ว”
สำหรับเธอแล้ว สมรสเท่าเทียมเป็นความสำเร็จอีกก้าว ที่ภาคประชาชนยังต้องทำงานกันต่อ เช่น ผลักดันกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ ผลักดันเรื่องยุติความรุนแรง ยุติการเลือกปฏิบัติ ยุติความรุนแรงต่อเด็ก LGBTIQAN ในสถานศึกษา ยุติอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง ไปจนถึงสร้างสวัสดิการโดยรัฐเพื่อความเป็นธรรมทางเพศ
เมื่อเริ่มมีการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมที่อำเภอ
คู่สมรสเท่าเทียมจำนวนมาก กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ขั้นตอนการจดทะเบียนสมรสที่สำนักงานเขตและอำเภอเป็นไปอย่างราบรื่น เจ้าหน้าที่เขตในกรุงเทพมีความพร้อม ให้บริการเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาทั่วไปไม่ได้แบ่งแยก สำหรับในบางอำเภอของชนบท เจ้าหน้าที่ยินดีอย่างยิ่ง อยากให้มีคู่รัก LGBTQIA+ มาจดทะเบียนสมรสที่อำเภอของตน เพราะถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในพื้นที่
ฉัตรชัย กล่าวถึงวันจดทะเบียนสมรสว่า “จำได้ว่าวันที่ไปจดทะเบียนสมรส มีคู่สมรสชายหญิงและมีคู่สมรสเท่าเทียมไปจดทะเบียนนอกจากคู่ของเราอีก 2-3 คู่ ทุกคนได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน ไม่มีใครจ้องมองหรือเพ่งเล็งเหมือนเราเป็นเรื่องประหลาด ขั้นตอนในการจดทะเบียนสมรสเหมือนกันทุกคู่ เมื่อได้ทะเบียสมรสมา เราดีใจกันมาก ของจริงมันสวยมาก ๆ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง”
ทั้งนี้เพราะเมื่อมีประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 24 ก.ย. 2567 ว่าสมรสเท่าเทียมจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันนั้น กรมการปกครองได้ซักซ้อมการปฏิบัติกับสำนักทะเบียนและอำเภอ 878 แห่ง สำนักงานเขตใน กทม. 50 เขต รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลไทยในต่างประเทศ อีก 94 แห่ง ได้เตรียมความพร้อมในการจดทะเบียนสมรสสำหรับคู่รัก LGBTQIA+ ทั้งอบรมเจ้าหน้า ทดสอบแก้ไขระบบ ผลิตใบสมรสและใบหย่าเพิ่ม
อย่างไรก็ตามการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่ใช่จุดสิ้นสุดทางเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิความหลากหลายทางเพศ เพราะสิทธิที่ได้จากการสมรสนั้นยังไม่สมบูรณ์ แม้ LGBTQIA+ ที่จดทะเบียนสมรสจะได้รับสิทธิต่างๆ ในฐานะคู่สมรสทันที ตามกฎหมายอื่นๆ 72 ฉบับที่ใช้คำว่า “คู่สมรส” อยู่แล้ว แต่ยังต้องมีการทบทวน ปรับแก้ในกฎหมายอื่นๆ อีกประมาณ 50 ฉบับ ที่ยังคงใช้คำว่า “สามี-ภรรยา” ซึ่งต้องปรับแก้ให้สอดคล้องกับความเป็นกลางทางเพศ และยังมีกฎหมายที่บัญญัติเฉพาะบางเพศไว้เป็นกรณีพิเศษ เช่น พ.ร.บ.อุ้มบุญ พ.ร.บ. สัญชาติ ซึ่งสัมพันธ์กับสิทธิคู่สมรสโดยตรง
การมีลูกด้วยเทคโนโลยียังไม่สามารถทำได้
พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 หรือ “พ.ร.บ.อุ้มบุญ” นั้น ตราขึ้นเพื่อควบคุมการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อมีบุตร เช่นการทำเด็กหลอดแก้ว การผสมเทียม หรือการใช้บุคคลตั้งครรภ์แทน ได้กำหนดเงื่อนไขไว้อย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์ ซึ่งถือว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551
กฎหมายอุ้มบุญจึงกำหนดให้เฉพาะคู่สมรสต้องเป็นชายหญิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือสัญชาติไทยและแต่งงานไม่น้อยกว่า 3 ปี ไข่และอสุจิต้องเป็นของคู่สมรสเท่านั้น และผู้รับอุ้มบุญต้องเป็นญาติของคู่สมรส ซึ่งคู่สมรสเท่าเทียมยังไม่สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายนี้ได้
เพื่อขยายสิทธิการอุ้มบุญให้ครอบคลุม LGBTQIA+ กระทรวงสาธารณสุขจึง ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่ โดยมีเนื้อหาสาระเช่น
- เปิดโอกาสให้คู่สมรส LGBTQIA+ ผู้หญิงที่มีลูกยากและผู้หญิงอายุ 48 ปีขึ้นไป สามารถทำอุ้มบุญได้ โดยต้องให้ญาติหรือคนรู้จักตั้งครรภ์แทน
- ผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์แทนต้องมีอายุ 20-35 ปี และไม่สามารถใช้ไข่ของผู้ตั้งครรภ์แทนได้ เพื่อลดปัญหาความผูกพันทางสายเลือด
- ใช้ไข่ของฝ่ายหญิงหรือไข่ของผู้หญิงที่บริจาค หรืออสุจิที่บริจาค
- ชาวต่างชาติที่จะทำอุ้มบุญ ต้องมีผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แทนเป็นคนสัญชาติเดียวกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดของคู่สมรส ผู้หญิงไทยไม่สามารถตั้งครรภ์แทนได้ เพื่อป้องกันการค้ามนุษย์
อย่างไรก็ตาม กฎหมายยังไม่ครอบคลุมไปถึงคนโสดหรือหญิงที่ไม่ได้สมรสต้องการมีลูก แม้ประชากรกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม และการจ้างผู้หญิงมาตั้งครรภ์แทนยังถือว่าผิดกฎหมาย
การจดทะเบียนสมรสของชาวต่างชาติยังคงมีปัญหา
แม้กฎหมายจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมได้ในประเทศไทย แต่ระเบียบของกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้คนต่างด้าว ต้องมีเอกสารยืนยันสถานะโสดจากประเทศตนเอง ที่สร้างความยากลำบากให้กับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มาจากประเทศที่มีกฎหมายลงโทษคนรักเพศเดียวกัน
เพราะการไปขอหนังสือรับรองสถานะโสดจากหน่วยงานราชการ ต้องเปิดเผยตัวตนทางเพศ หากรัฐบาลทราบว่าขอหนังสือรับรองสถานะโสดเพื่อสมรสกับเพศเดียวกัน อาจถูกปฏิเสธหรือสุ่มเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายภายหลัง ทั้งๆ ที่การยืนยันสถานะโสดสามารถกระทำได้ด้วยวาจา และในกรณีการแจ้งความเท็จนั้นก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลและมีกฎหมายอาญากำหนดโทษไว้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ในการจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาตินั้น ยังเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิคู่สมรสชาวต่างชาติ ไม่เพียงคู่รักเพศเดียวกันแต่รวมถึงคู่รักต่างเพศชายหญิงด้วย
เนื่องจากประเทศไทยก็เหมือนกับอีกหลายๆประเทศ ที่พยายามป้องกันการจดทะเบียนสมรสที่มีจุดประสงค์แอบแฝงเพื่อเปลี่ยนสัญชาติ ทำให้การจดทะเบียนสมรสไม่ได้ทำให้คู่สมรสต่างชาติมีสัญชาติไทยในทันที หากแต่ต้องทำเรื่องขอสัญชาติตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 ทว่ากฎหมายนี้ยังไม่ได้ให้สิทธิคู่สมรสอย่างเท่าเทียม
ตามมาตรา 9 ระบุว่า หญิงต่างด้าวที่ได้สมรสกับชายสัญชาติไทย ถ้าประสงค์จะได้สัญชาติไทย ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบและวิธีการที่กำหนดในกระทรวง แต่ไม่ได้มีข้อกำหนดสำหรับชายต่างด้าวที่สมรสกับหญิงสัญชาติไทย
ดังนั้นคู่สมรสไม่ว่าต่างเพศหรือเพศเดียวกัน หากจดทะเบียนสมรสกับชายชาวสัญชาติอื่น ฝ่ายชายต่างชาติจะไม่สามารถขอสัญชาติไทยได้ เนื่องจากข้อกฎหมายจะอนุญาตให้เฉพาะหญิงต่างชาติสมรสกับชายสัญชาติไทยเท่านั้น ดังนั้นต่อให้คู่สมรสเป็นผู้มีสัญชาติไทย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถยื่นขอสัญชาติในฐานะคู่สมรสได้ ต้องไปขอในเงื่อนไขอื่นแทน
ปัญหานี้ยังส่งมีผลสืบเนื่องมาถึงลูกด้วย ตาม มาตรา 7(1) ของกฎหมายระบุว่า ผู้ที่มีสัญชาติไทยต้องเป็นผู้ที่เกิดโดยบิดาหรือมารดาผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ดังนั้นในกรณีเป็นบุตรที่รับอุปการะมาหรือเกิดจากชายชาวต่างชาติที่เป็นคู่สมรส จึงไม่สามารถขอสัญชาติไทยได้
หาก พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 ได้รับการแก้ไข ถือว่าเป็นอีกพัฒนาการทางกฎหมายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ ไม่เพียงเพื่อคู่สมรส LGBTQIA+ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงคู่สมรสชายหญิงด้วย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
แก้กฎหมาย ”อุ้มบุญ” เพิ่มสิทธิ LGBTQ+ เข้าถึงบริการ
กม.สมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว แต่เด็กยังถูกเลือกปฏิบัติ
จับตาโดมิโน “อนุรักษ์นิยมทางเพศ”