ขณะที่เสียงนาฬิกาแห่งความชราเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ประเทศไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนผ่านทางประชากรอย่างรุนแรงและรวดเร็ว สังคมผู้สูงอายุไม่ได้เป็นเรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นความจริงที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2548 และในเวลาไม่ถึงสิบปี ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ “สังคมผู้สูงวัยระดับสุดยอด” หรือ Super-aged society ซึ่งประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีสัดส่วนมากกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ
คำถามที่ตามมาคือ เราพร้อมหรือยังที่จะออกแบบสังคมสำหรับคนวัยเกษียณในโลกที่พวกเขายังมีศักยภาพ? เราจะยังคงใช้ “อายุ 60 ปี” เป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตการทำงานหรือไม่? และนโยบายของรัฐพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้หรือยัง?
ในเวที Policy Forum “The Next Chapter: ชีวิตไม่เกษียณ” ภายใต้งาน มนุษย์ต่างวัย FEST 2025 มีการหยิบยกประเด็นสำคัญด้านนโยบาย อายุเกษียณ และการทำงานของผู้สูงวัยขึ้นมาถกเถียงอย่างลึกซึ้ง บทวิเคราะห์นี้จะพาไปสำรวจข้อเสนอ ข้อเท็จจริง และความเป็นไปได้ของ “การขยายอายุเกษียณ” ในบริบทของประเทศไทยปี 2568
เกษียณที่ 60 มาตรฐานล้าสมัยในยุคที่อายุขัยพุ่งทะยาน
เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล ย้ำชัดว่า “อายุขัยเฉลี่ยคนไทยเพิ่มขึ้น” ปัจจุบันอยู่ที่ราว 78 ปี แล้ว แต่ประเทศไทยยังใช้ “อายุเกษียณ 60 ปี” มาตั้งแต่ปี 2494 หรือกว่า 70 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส ต่างทยอยขยับอายุเกษียณเป็น 65 หรือ 70 ปี ตามลำดับ เพื่อสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสุขภาพ ความสามารถ และศักยภาพของประชากรสูงวัย
การที่ประเทศไทยยังคง “ล็อกชีวิตแรงงาน” ไว้ที่ 60 ปี จึงเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และอาจส่งผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยในระยะยาว
ผู้สูงวัยไทย ทำงานเพราะ “อยาก” หรือ “จำเป็น”?
แม้จะอยู่ในวัยที่ควรพักผ่อน แต่ผลสำรวจจากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า กว่า 37% ของผู้สูงอายุยังคงทำงาน และในกลุ่มนี้กว่า 86% อยู่ในระบบนอกทางการ ไม่มีสวัสดิการ ประกัน หรือการคุ้มครองแรงงานที่ชัดเจน
งานวิจัยโดย เฉลิมพล ยังระบุถึง 5 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้สูงวัยยังคงต้องทำงาน
- ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ: ไม่มีเงินออมพอใช้ในวัยเกษียณ
- สุขภาพและทักษะ: บางรายยังทำได้แต่ขาดการฝึกทักษะใหม่
- โอกาสที่ไม่เปิดกว้าง: สังคมยังตีตรา “คนสูงวัย” ว่าไม่ทันโลก
- การทำงานนอกระบบ: ไม่มีการคุ้มครองหรือสิทธิตามกฎหมาย
- ข้อจำกัดทางสังคม-กายภาพ: การเดินทาง ลักษณะงานไม่เอื้อ
ปัญหาเหล่านี้สะท้อนว่า “ระบบสนับสนุนผู้สูงอายุ” ในการเข้าสู่ชีวิตหลังเกษียณยังไม่พร้อม ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ แรงงาน สวัสดิการ และทัศนคติของสังคมเอง
เสนอขยายอายุเกษียณ 65–70 ปี ทำไมต้องทำ?
วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ย้ำว่า หากไม่ขยายอายุเกษียณหรือทบทวนโครงสร้างแรงงานให้สอดคล้องกับความสามารถจริงของผู้สูงวัย สังคมไทยจะเจอกับปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและคุณภาพชีวิตในวงกว้าง
เขาระบุว่า “การใช้เกณฑ์อายุเกษียณ 60 ปีที่ล้าสมัย เป็นการเลือกปฏิบัติทางอายุ” และขัดกับแนวโน้มที่หลายประเทศดำเนินการ โดยเฉพาะในกลุ่มอาชีพพิเศษของไทยอย่าง แพทย์ อาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้พิพากษา ซึ่งเริ่มเปิดให้ทำงานถึง 65–70 ปี แล้ว
ต้องทบทวน “3 อายุ” สำคัญใหม่
เฉลิมพล เสนอให้มีการทบทวน 3 อายุหลัก ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตแรงงานของผู้สูงวัย ดังนี้
แนวทางที่เสนอคือ “การปรับอายุอย่างค่อยเป็นค่อยไป” เช่น ขยับจาก 55 เป็น 57 ปี และในที่สุดถึง 60 ปี พร้อมขยายระบบแรงงานยืดหยุ่น-ทักษะใหม่ เพื่อให้ผู้สูงวัยยังคงทำงานได้อย่างมีศักดิ์ศรี
ข้อเสนอ “สมัครใจทำงานต่อ” แทนคำสั่งบังคับ
ทั้ง รศ.เฉลิมพล และ วสันต์ เห็นตรงกันว่า “การขยายอายุเกษียณไม่ควรใช้คำสั่งบังคับ” แต่ควรเป็นระบบสมัครใจ ที่เปิดให้ทั้งผู้สูงวัยและองค์กรตัดสินใจร่วมกัน เพราะหากรัฐดำเนินการโดยไม่ฟังเสียงประชาชน อาจเกิดแรงต้านอย่างใน กรณีฝรั่งเศส ที่มีการประท้วงครั้งใหญ่เมื่อรัฐบาลประกาศขยายอายุเกษียณจาก 62 เป็น 64 ปี โดยไม่เปิดให้ประชาชนมีสิทธิตัดสินใจ
กฎหมายแรงงานต้องรองรับ “แรงงานอาวุโส”
ปัจจุบัน กฎหมายแรงงานของไทยยังไม่มี “บทเฉพาะ” สำหรับแรงงานผู้สูงวัย ทั้งที่ความต้องการของคนกลุ่มนี้มีลักษณะเฉพาะ ได้แก่
- ต้องการ ชั่วโมงทำงานที่ยืดหยุ่น
- ต้องการ ความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
- ต้องการ การดูแลด้านสุขภาพควบคู่
หากประเทศไทยสามารถพัฒนากฎหมายแรงงานเฉพาะกลุ่มสูงวัย เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ก็อาจช่วยลดอคติ และสร้างระบบแรงงานที่ยั่งยืนสำหรับคนทุกวัย
ภาคเอกชนยังลังเล ขาดแรงจูงใจ-ขาดระบบรองรับ
แม้ภาครัฐเริ่มเปิดประเด็นสนับสนุนผู้สูงวัย แต่ภาคเอกชนยัง “ลังเล” เพราะ
- ยังไม่มี มาตรการภาษี หรือเงินอุดหนุน
- ขาดระบบรองรับแรงงานสูงวัยที่เป็นมิตร
- กังวลต่อ ประสิทธิภาพ และ ต้นทุนเพิ่ม
ข้อเสนอจากเวที “มนุษย์ต่างวัย” คือรัฐต้อง “สร้างแรงจูงใจ” ให้เอกชน เช่น หักลดหย่อนภาษี สำหรับองค์กรที่จ้างผู้สูงวัย หรือสนับสนุนการฝึกทักษะใหม่ในสถานที่ทำงาน
ถ้าไม่เปลี่ยนวันนี้ จะไม่มีวันพร้อม
การขยายอายุเกษียณไม่ใช่เรื่องของตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่คือการ “รีดีไซน์” สังคมใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่กฎหมาย นโยบาย โครงสร้างแรงงาน ไปจนถึงทัศนคติของประชาชน
หากเราไม่มองผู้สูงวัยเป็น “ทรัพยากร” แต่ยังเห็นเขาเป็น “ภาระ” ประเทศไทยก็จะพลาดโอกาสสำคัญในการใช้ประโยชน์จากคนที่ยังมีประสบการณ์ ความสามารถ และพลังสร้างสรรค์อีกมาก
การขยายอายุเกษียณจึงไม่ควรเป็นเพียงทางเลือก แต่ควรเป็น “แผนยุทธศาสตร์ชาติ” ที่ต้องดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างมีส่วนร่วม และมีหัวใจเป็น “ความสมัครใจ” ไม่ใช่การบังคับ
เพราะการเปลี่ยนแปลงทางประชากรเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่การเตรียมความพร้อมรับมือ คือสิ่งที่สามารถทำได้ด้วยนโยบายรัฐ และมองผู้สูงวัยเป็น “พลัง” มากกว่าภาระ เพราะชีวิตหลังเกษียณไม่ใช่จุดจบ แต่คือ “The Next Chapter” ชีวิต ซีซัน 2 ที่เพิ่งเริ่มต้น .
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ออมพอเกษียณ บททดสอบ คน รัฐ สังคม
- ส่องมาตรการโลก รับมือ “สังคมสูงวัย”
- สังคมสูงวัยไม่น่ากลัว ถ้า “วัยเก๋า” มีที่ยืนในตลาดแรงงาน