แม้การจัดโผคณะรัฐมนตรี “อนุทิน 1” ยังไม่ลงตัว แต่ชื่อของ “พัฒนา พร้อมพัฒน์” บุตรชาย ของ “สันติ พร้อมพัฒน์” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอาจไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ ถูกผลักดันให้ขึ้นนั่งเป็น รมว.สาธารณสุข แทน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ตั้งคำถามถึง “คุญสมบัติ”ของผู้ที่จะมานั่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่าควรจะมีลักษณะแบบไหนที่จะสามารถรับมือกับปัญหา “ระบบสาธารณสุข”ได้
กระทรวงสาธารณสุขถือเป็นหนึ่งในกระทรวงที่มีความสำคัญในเชิงนโยบาย โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ และ โรคอุบัติใหม่ โรคระบาดที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
ขณะที่ปัญหาในเชิงโครงสร้างของกระทรวงสาธารณสุข ภาระงานแพทย์ แพทย์ลาออก และความขัดแย้งการจัดการระบบสุขภาพ ภายใต้รระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อาจจะต้องมีทั้ง “วัยวุฒิ” และ “คุณวุฒิ” เพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ดังนั้นการจัดสรร รัฐมนตรีว่าการฯ แม้จะมาจาก “โควตาทางการเมือง” แต่ควรจะเป็น “มืออาชีพ” เข้าใจปัญหา เช่นเดียวกับ การคัดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจหรือไม่
แม้ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นโควตาทางการเมือง แต่พรรคการเมืองก็มักจะเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติ และ วัยวุฒิ มารับมือกับปัญหาสาธารณสุขของประเทศได้
ทำเนียบรมว.สาธารณสุข จากยุค คสช. ถึง เพื่อไทย
ลำดับ | รัฐมนตรีสาธารณสุข | วันที่ดำรงตำแหน่ง | รัฐบาล |
1 | ศ.นพ. รัชตะ รัชตะนาวิน | 31 ส.ค. 2557 – 19 ส.ค. 2558 | พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา (คสช.) |
2 | ศ.นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร | 20 ส.ค. 2558 – 9 ก.ค. 2562 | พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา (คสช.) |
3 | นายอนุทิน ชาญวีรกูล | 10 ก.ค. 2562 – 1 ก.ย. 2566 | พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา (เลือกตั้ง 2562) |
4 | นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว | 1 ก.ย. 2566 – 27 เม.ย. 2567 | นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทยนำรัฐบาล) |
5 | นายสมศักดิ์ เทพสุทิน | 27 เม.ย. 2567 – … | นายเศรษฐา ทวีสิน, นส.แพทองธาร ชินวัตร (พรรคเพื่อไทยนำรัฐบาล) |
6 | ? | นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทยนำรัฐบาล) |
ดังนั้นการเลือก “รมว.สาธารณสุข” ของรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล จึงอาจต้องคำนึกถึง “คุณสมบัติ”ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งว่ามี วัยวุฒิ และ คุณวุฒิ มีความเป็นมืออาชีพเพียงพอในการรับมือกับปัญหา
“Policy Watch” สำรวจความเห็น บุคลากรสาธารณสุข ถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯคนใหม่ ควรมีลักษณะอย่างไรเพื่อรับมือกับสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกกระทรวงฯ
“อยากได้คนเข้าใจ ระบบสุขภาพ”
นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา และรองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ให้ความเห็นว่า แม้หลายกระทรวงจะได้ “คนนอก” ที่เป็นมืออาชีพในสายงานมารับตำแหน่ง แต่กระทรวงสาธารณสุขยังคงได้รัฐมนตรีจาก “โควตาทางการเมือง”
“สิ่งที่อยากเห็นไม่ใช่แค่ใครขึ้นมาเพราะโควตา แต่ต้องเป็นคนที่เข้าใจปัญหาของระบบสาธารณสุขจริง ๆ และมีความตั้งใจเข้ามาแก้ไข” นพ.วีระพันธ์ กล่าว
แม้จะมีเวลา 4 เดือน หรือรวมการรักษาการอาจถึง 8 เดือน ถ้ามีความตั้งใจจริงก็เพียงพอที่จะเริ่มแก้ปัญหาสำคัญได้ “นพ.วีระพันธ์” เปรียบเทียบว่า รัฐบาลที่รู้อายุการทำงานของตนเองเหมือน “คนที่รู้วันตาย” ยิ่งควรใช้เวลาที่เหลือทำสิ่งที่ดีที่สุด
ระบบสาธารณสุข บุคลากรคือหัวใจ
ขณะที่การปฏิรูประบบสาธารณสุขควรเริ่มที่ “บุคลากร” เพราะเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพบริการของประชาชน ถ้าแพทย์ พยาบาล และบุคลากรสหวิชาชีพมีความสุขในการทำงาน ประชาชนที่รับบริการก็จะมีความสุขไปด้วย เพราะฉะนั้นรัฐบาลไหนที่แก้ปัญหานี้ได้ จะกลายเป็นรัฐบาลที่ได้รับความนิยมและยั่งยืน
สำหรับประเด็นที่ควรเร่งแก้ไข เขาแจกแจงไว้ 4–5 เรื่องหลัก ได้แก่
- ภาระงานหนักเกินไป – บุคลากรทำงานหนักจริงจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
- ค่าตอบแทนต่ำ – ไม่สอดคล้องกับชั่วโมงการทำงานและความรับผิดชอบ
- ความก้าวหน้าในวิชาชีพ – ระบบราชการผูกติด ก.พ. ทำให้เติบโตช้า หากสามารถแยกสาธารณสุขออกมา จะเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา
- สวัสดิการไม่เพียงพอ – บ้านพักเก่า การเดินทางลำบาก ความปลอดภัยในการทำงานที่ยังไม่ทั่วถึง
“ถ้ารัฐบาลมีวิสัยทัศน์จริง ๆ ภายใน 8 เดือนก็สามารถเริ่มแก้ปัญหาเหล่านี้ได้” นพ.วีระพันธ์ กล่าว
ขณะนี้กำลังผลักดัน ร่างกฎหมายกำหนดชั่วโมงการทำงานบุคลากรสาธารณสุข เพื่อยกระดับ wellbeing และความปลอดภัยในการทำงาน
“กฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว คาดว่าภายในสิ้นเดือนนี้จะกลับมาให้เราตรวจสอบและยื่นอีกครั้ง หากรัฐบาลให้การสนับสนุน ถือว่าเป็นกฎหมายชิ้นโบว์แดงของระบบสาธารณสุข” นพ.วีระพันธ์ ระบุ
นอกจากนี้ ในฐานะคณะอนุกรรมาธิการ เขายืนยันว่าจะเดินหน้าพบรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง เพื่อนำเสนอปัญหาและ “Solution” ที่ได้ศึกษาและเตรียมไว้
มืออาชีพที่แท้จริงคืออะไร
ผศ.นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช และผู้แทนเครือข่าย UHosNet ให้สัมภาษณ์ว่า “มืออาชีพ” คือคำตอบที่ทุกคนปรารถนา
“มืออาชีพคือคนที่เข้าใจปัญหา รู้วิธีแก้ และตัดสินใจได้อย่างมีหลักการ ถ้าได้คนแบบนี้มาก็ย่อมดีกว่า” ผศ.นพ.สนั่น กล่าว
เขาอธิบายว่าปัญหาของกระทรวงสาธารณสุขแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ปัญหาของตัวกระทรวงเอง กับปัญหาของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แม้จะซ้อนทับกัน แต่เป็นเรื่องที่แยกกันได้
ปัญหาของตัวกระทรวงแม้จะแก้ยาก แต่โครงสร้างและระบบชัดเจน เข้าใจไม่ยากนัก ต่างจาก สปสช. ที่มีความซับซ้อนสูง ถ้ารัฐมนตรีเป็นคนที่ไม่เข้าใจระบบ สปสช. และมีเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็ยากที่จะจัดการกับปัญหาซับซ้อนตรงนี้ได้สำเร็จ ยกเว้นเป็นคนที่รู้เรื่องอยู่แล้ว หรือเรียนรู้ได้เร็วมาก ๆ
4 เดือนอาจยังไม่สามารถวางนโยบายระยะยาวได้ แต่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เป็นประเด็นร้อนอยู่ เช่น คลินิกชุมชนอบอุ่นถูกเรียกเงินคืน โรงพยาบาลต่างจังหวัดคัดค้านระบบจ่ายใหม่แบบ Point System ของ สปสช. ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังสร้างแรงกดดันและต้องการคำตอบด่วน
สำหรับคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่รัฐมนตรีสาธารณสุขต้องเป็น “หมอ” หรือคนในระบบ ผศ.นพ.สนั่น ตอบว่าไม่จำเป็น แต่ต้องเป็นผู้ที่ “เข้าใจปัญหาจริง”
“สปสช. และกระทรวงไม่ได้มีแค่หมอ ยังมีทันตแพทย์ เภสัชกร และบุคลากรสาธารณสุข แต่ประเด็นคือคนที่มารับตำแหน่งต้องรู้ว่าปัญหาตอนนี้คืออะไร โดยเฉพาะเรื่องการเงินและการจัดบริการที่กำลังเป็นวิกฤติ” ผศ.นพ.สนั่น กล่าว
และฝากถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล โดยเฉพาะในฐานะที่นายกฯ เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขว่า ต้องให้ความสำคัญกับปัญหาของ สปสช.
“ตอนเริ่มระบบหลักประกันสุขภาพใหม่ ๆ กระทรวงกับ สปสช.ทำงานแบบปรึกษาหารือกัน แต่ปัจจุบันกลายเป็นลักษณะสั่งการจากบนลงล่าง ทำให้เกิดปัญหามากมาย หากรัฐบาลไม่เข้ามาแก้ไขตรงนี้ จะทำให้ระบบเดินต่อไปอย่างติดขัด” ผศ.นพ.สนั่น ระบุ
ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ แต่ต้องเข้าใจการบริหาร
ขณะที่ นายนิมิตร์ เทียนอุดม ตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะมารับตำแหน่ง โดยระบุว่า รัฐมนตรีสาธารณสุขมีภารกิจหลัก 2 ด้านสำคัญ
ภารกิจแรก กำกับดูแลโรงพยาบาลของรัฐ นายนิมิตร์ อธิบายว่า กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าของโรงพยาบาลของรัฐกว่า 90% ทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นบริการพื้นฐานที่ประชาชนพึงได้รับ
“หน้าที่ของรัฐมนตรีคือกำกับให้หน่วยบริการเหล่านี้มีมาตรฐาน ให้บริการที่ยึดโยงกับประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่บริการที่ตกอยู่ภายใต้แนวคิดกำไร–ขาดทุน เพราะนี่คือบริการพื้นฐานที่รัฐต้องจัดให้” เขากล่าว
เขาย้ำว่า การเป็น “มืออาชีพ” ของรัฐมนตรีจึงหมายถึงความสามารถในการบริหารจัดการหน่วยบริการให้มีความพร้อม ทั้งกำลังคน ทรัพยากรบุคคล และทรัพยากรด้านกายภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ไม่ใช่บริการที่ด้อยมาตรฐานหรือแออัดเกินไป
ภารกิจที่สอง บริหารระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากดูแลโรงพยาบาล รัฐมนตรีสาธารณสุขยังต้องนั่งเป็นประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งกำหนดทิศทางของระบบบัตรทองโดยตรง
“โจทย์สำคัญคือคุณจะบริหารจัดการการเงินอย่างไร เพื่อให้ประชาชนได้สิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม ได้บริการที่มีคุณภาพที่สุด โดยใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด” นายนิมิตร์กล่าว
นายนิมิตร์ บอกว่า รมว.สาธารณสุขไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ แต่ควรได้คนที่มีความเป็นมืออาชีพด้านการบริหาร เข้าใจหลักการจัดการคน ทรัพยากร และสร้างแรงจูงใจให้หน่วยงานในสังกัดสามารถจัดบริการที่มีมาตรฐานและคุณภาพ เป็นบริการของรัฐที่ประชาชนรู้สึกเชื่อมั่นได้
ส่วนเวลาจำกัดที่ 4 เดือน นายนิมิตร์เห็นว่าไม่ใช่อุปสรรค เพราะหลายเรื่องไม่ใช่สิ่งที่ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่เป็นเรื่องที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว เพียงรัฐมนตรีเข้าใจกลไกที่มี รีบหยิบมาสานต่อและตัดสินใจ ก็สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ได้ภายใน 4 เดือน ถ้าจะทำจริง ๆ เวลาก็ไม่ใช่ปัญหา
“เลือกมืออาชีพ” เหมือนกระทรวงเศรษฐกิจ?
ด้าน พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม หรือ “หมอเบียร์” อดีตอายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลแม่สอด บอกว่ากระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงที่ดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนทั้งกายและใจ มีบุคลากรจำนวนมากและหลากหลายวิชาชีพ โครงสร้างงานก็ซับซ้อนมาก คนที่จะมาคุมต้องมีความเข้าใจเชิงลึกทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ทำงานบนโต๊ะ
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกระทรวงพาณิชย์ ที่ดึงมืออาชีพภายนอกมาดูแล สาเหตุหนึ่งอาจเพราะโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงสาธารณสุข “แน่น” อยู่แล้ว งบประมาณและแผนงานต่าง ๆ ค่อนข้างชัดเจน จึงไม่ถูกมองว่าเป็นวิกฤตที่ต้องการ “ยอดฝีมือ” มาคุมเร่งด่วน
“อาจจะมองได้สองมุม มุมหนึ่งคือโครงสร้างสาธารณสุขดีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้คนพิเศษ อีกมุมหนึ่งคือ อาจถูกให้ความสำคัญน้อยเกินไปก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราหวังว่าจะได้คนที่เห็นคุณค่าของระบบจริง ๆ” เธอกล่าว
หมอเบียร์ยอมรับว่า การจัดสรรตำแหน่งในลักษณะ “โควตาพรรคการเมือง” ระบบการเมืองไทยหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่สิ่งสำคัญคือ รัฐมนตรีจะต้องรับฟังข้อเสนอจากข้าราชการประจำอย่างจริงจัง
“ถึงแม้รัฐมนตรีจะไม่ใช่หมอหรือพยาบาล แต่ถ้าฟังและเข้าใจสิ่งที่ข้าราชการประจำนำเสนอ ก็สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องและเดินหน้านโยบายที่ดีต่อประชาชนได้”
สำหรับข้อจำกัดเวลาของรัฐบาลที่บอกว่าจะอยู่เพียง 4 เดือนแล้วยุบสภา การเลือกผู้ที่จะเข้ามาดูแลกระทรวงสาธารณสุขจำเป็นต้องเป็น “คนที่เข้าใจปัญหาจริง ๆ” และมีประสบการณ์เพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทันที
หมอเบียร์เห็นว่า ควรเน้น “การรักษานโยบายที่ดี” และเร่งตัดสินใจในเรื่องที่ค้างอยู่มากกว่าเริ่มโครงการใหม่ ยกตัวอย่างประเด็นสำคัญที่ควรเร่งผลักดัน เช่น
- การแก้ปัญหาการลาออกของบุคลากรสาธารณสุข ผ่านการปรับโครงสร้างเงินเดือนและสภาพการทำงาน
- การจัดสรรแพทย์และบุคลากรไปยังพื้นที่กันดาร
- การบริหารจัดการยา โดยเฉพาะยานอกบัญชียาหลัก
- การจัดระบบดูแลผู้ป่วยข้ามชาติและแรงงานต่างด้าว เพื่อลดภาระการเงินของโรงพยาบาล
“สาธารณสุขไม่ได้เป็นพื้นที่ที่ต้องการนโยบายประชานิยมเร่งด่วน แต่เป็นพื้นที่ที่ต้องการความต่อเนื่อง ความมั่นคง และการตัดสินใจที่ถูกต้องในเรื่องที่รอการแก้ไข” หมอเบียร์ ระบุ
สุขภาพคนไทยในสมการการเมือง
ท้ายที่สุดปฏิเสธไม่ได้ว่า คำถามที่สังคมโยนกลับไปถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะผู้นำรัฐบาลก็คือ ทำไมถึงไม่ส่ง “มืออาชีพ” มานั่งเก้าอี้ รมว.สาธารณสุข ทั้งที่ตัวเองรู้ดีว่าเก้าอี้นี้สำคัญแค่ไหน? หรือกระทรวงสาธารณสุขถูกมองเป็นแค่ “โควตาการเมือง” หรือยังคงมีความหมายต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนจริง ๆ?
การเลือกบุคคลมาเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่แค่การจัดสรรเก้าอี้ในทางการเมือง แต่คือการกำหนดอนาคตของระบบสาธารณสุขไทยทั้งระบบ เมื่อจะบอกว่าจะอยู่เป็นรัฐบาลแค่ 4 เดือน แต่คงไม่มีอะไรแน่นอน
การตัดสินใจของนายอนุทินครั้งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการถกเถียงครั้งใหม่ว่า สุขภาพของประชาชนไทยถูกวางอยู่ตรงไหนในสมการการเมืองของรัฐบาล “อนุทิน 1”
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง