ThaiPBS Logo

สังคมสูงวัย ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุ แต่เป็นเรื่องของทุกคน

28 พ.ย. 256716:04 น.
สังคมสูงวัย ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุ แต่เป็นเรื่องของทุกคน

ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ผู้ทรงคุณวุฒิ กล่าวปาฐกถาประชุมวิชาการ “สานพลังไทย รับมือสังคมสูงวัย ไปด้วยกัน” (Smart Aging Society : Together, We can”)  ระหว่าง 27-28 พ.ย. 67  โดยตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นแบบ “พลิกโฉม” และจะส่งผลกระทบไปทั่ว ในขณะที่สังคมไทยเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” จึงต้องร่วมมือกันรับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในทุกมิติ มีรายละเอียดดังนี้

8 กระแสดิสรัปชันเขย่าโลก เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในหลายมิติ ในขณะที่สังคมไทยกำลังเร่งเข้าสู่สังคมสูงวัย แต่คนในสังคมยังไม่เข้าใจมากพอว่าจะเกิดอะไรขึ้น "นพ.วิจารณ์ พานิช" แนะ 5 กลยุทธ์รับสถานการณ์ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพราะไม่ใช่เรื่องของผู้สูงอายุ แต่เป็นเรื่องของทุกคน

ในโลกปัจจุบัน เรากำลังเผชิญกับ Disruption คือการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและพลิกโฉม ในหลากหลายมิติ สร้างผลกระทบทั้งในระดับ Global และ Local ปรากฏการณ์ที่สำคัญคือ

  1. การปฏิวัติทางเทคโนโลยี (Technological Revolution) เช่น AI และ Machine Learning ที่เปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม ทั้งการผลิต การแพทย์ และการเงิน
  2. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มีภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น ทั้ง น้ำท่วม ไฟป่า และคลื่นความร้อนจากภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด
  3. การอพยพย้ายถิ่นฐานจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความขัดแย้งทางการเมือง
  4. ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Tensions) จากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจคือ สหรัฐฯและจีน ทั้งในด้านการค้าและเทคโนโลยีสงครามและความไม่สงบ
  5. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค(Consumer Behavior Shift) จากเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเปลี่ยนแปลงไปสู่ E-commerce และบริการออนไลน์ เช่น Amazon, Shopee, และ Grab รวมถึงเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) เช่น การใช้บริการ Airbnb หรือUber
  6. การเปลี่ยนแปลงในระบบสุขภาพ (Healthcare Revolution) โดยการใช้เทคโนโลยีสุขภาพ เช่น AI , Wearables และ Telemedicine เพื่อให้บริการสุขภาพที่แม่นยำและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น หรือวิกฤตการณ์โรคระบาด เช่น COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตทั่วโลก
  7. การเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาและแรงงาน (Education and Workforce Shift) จากการศึกษาแบบเดิมสู่การเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน โดยการทำงานจากที่บ้าน (Remote Work) และระบบ Freelance Economy
  8. การเกิดขึ้นของเศรษฐกิจ Metaverse และโลกเสมือนจริง ด้วยการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลในพื้นที่ออนไลน์ เช่น การค้าขาย บันเทิง และการท างาน และสุดทายที่เป็นหัวข้อสำคัญของกำรประชุมวิชาการครั้งนี้คือ การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร ที่กำลังพำโลกเข้าสู่สังคมสูงวัยในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ไทย และในยุโรปอีกหลายประเทศ

Disruption เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแยกส่วนกัน แต่มีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน การเข้าใจและเตรียมตัวรับมือกับปรากฏการณ์เหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้บุคคลและองค์กรสามารถปรับตัวและสร้างโอกาสในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้

วิจารณ์ พานิช

การเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” ของประเทศไทย นับว่าเกิดขึ้นในอัตราที่รวดเร็วกว่าหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก เรากำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่วัยเด็กและวัยแรงงานลดลง ปรากฏการณ์นี้อาจดูเหมือนเป็นความท้าทาย ทั้งในแง่เศรษฐกิจ สุขภาพ การเมือง และสังคม

แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เราจะนำมาใช้เป็นจุดเปลี่ยนในการสร้างการเรียนรู้ร่วมกันของสังคมไทย เพื่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และร่วมกันผลักดันการพัฒนาประเทศในทุกมิติไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือ มุมมองของคนไทยต่อ “สังคมสูงวัย” ยังค่อนข้างแคบ หลายคนยังมองว่าสังคมสูงวัยเป็นเรื่องของ “ผู้สูงอายุ” เท่านั้น โดยเน้นไปที่ความจำเป็นในการดูแลสุขภาพ หรือการจัดสวัสดิการสำหรับผู้สูงวัย แต่ในความเป็นจริง สังคมสูงวัยคือเรื่องของ “ทุกคน” และทุกช่วงวัยในสังคมในโอกาสนี้ จึงขอเสนอข้อคิดมุมมองเพื่อการเตรียมรับมือสังคมสูงวัยไว้ 5 ประการ คือ

  1. รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจ
  2. ให้มีกลไกสานพลังแนวราบ
  3. ปรับสภาพแวดล้อมทั้งในเชิงพื้นที่และกลไก
  4. ใช้วัฒนธรรม “สังคมเกื้อกูล” เป็นธงนำ
  5. ขยายผลนวัตกรรมและรูปธรรมความสำเร็จไปสู่วงกว้าง

1. รณรงค์สร้างความรู้ควำมเข้าใจ เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนะมุมมองของสังคมโดยรวมที่มีต่อ “สังคมสูงวัย” ให้เป็นมุมมองที่ถูกต้อง สร้างสรรค์ และเสริมพลังในทางบวก ทัศนะที่สำคัญ เช่น

“สังคมสูงวัยเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุเท่านั้น” แต่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการดำเนินชีวิตของประชาชนทุกคนทุกช่วงวัย ตัวอย่างในระดับครอบครัว การที่คนหนุ่มสาวต้องรับบทบาทเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว อาจส่งผลต่อความสามารถในการทำงาน หรือการขาดระบบสนับสนุนที่ดีอาจทำให้ภาระตกหนักอยู่ที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง นอกจากนี้ ยังเกี่ยวพันไปถึงแผนการพัฒนาประเทศในทุกมิติและทุกสาขา ได้แก  ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา สุขภาพ สภาพแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี การสื่อสาร และการจัดการทุกภาคส่วน ซึ่งระบบกิจการผู้สูงอายุ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสังคมสูงวัย

“ผู้สูงอายุคือพลัง ไม่ใช่ภาระของสังคม” หากเรามองผู้สูงวัยในฐานะทรัพยากรทางสังคมอันมีค่า เราจะพบว่าผู้สูงวัยมีศักยภาพที่จะเป็น “ครูชีวิต” ที่ดีได้ เพราะมีความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่สะสมมาตลอดชีวิต สามารถแบ่งปันกับคนรุ่นใหม่ เป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน และยังสามารถมีบทบาทสำคัญในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้

“กำรเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Lifelong Learning) ได้กลายเป็นทักษะสำคัญที่ไม่จำกัดเฉพาะช่วงวัยใดวัยหนึ่ง แต่เป็นพื้นฐานที่ทุกคนควรมีเพื่อก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้จากหนังสือ ประสบการณ์ หรือผ่านเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มพูนทักษะด้านอาชีพและการดำรงชีวิต การเรียนรู้ควรเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชีวิต คือการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่มีคำว่าสายเกินไป

2. ให้มีกลไกสำนพลังแนวราบ เพื่อเป็นเจ้าภาพในการประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วน ให้เข้ามาร่วมกันขับเคลื่อนงานในลักษณะการนำหมู่ (Collective Leaderships) โดยมีกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาร่วมกัน จากการปฏิบัติจริง มีการจัดการความรู้ การสื่อสารทางสังคม เพื่อการรับรู้และเรียนรู้ร่วมกันทั้งสังคมอย่างต่อเนื่อง จะทำให้การสานพลังรับมือสังคมสูงวัยเดินหน้าไปในทิศทางที่สอดคล้องและเสริมพลังกัน

3. ปรับสภาพแวดล้อมทั้งในเชิงพื้นที่และกลไกให้เอื้อต่อกำรดำรงชีวิต การทำงาน และการเรียนรู้ร่วมกันของผู้สูงอายุและคนทุกวัย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยลดช่องว่างระหว่างวัย รวมถึงช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมการพัฒนาสังคมไทยในมิติแห่งความเท่าเทียมและยั่งยืน

4. ใช้วัฒนธรรม “สังคมเกื้อกูล” อันเป็นจุดแข็งของสังคมไทย เป็นธงนำ(Flag ship) เพื่อการขับเคลื่อนงานสานพลังรับมือสังคมสูงวัยอย่างยั่งยืน เพราะการเข้าสู่สังคมสูงวัยจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในชุมชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การใช้รูปแบบวัฒนธรรมของการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เช่น การสร้างกลุ่มชมรม สมาคม หรือเครือข่ายจิตอาสาในรูปแบบต่าง ๆ การสร้างศูนย์ซ่อมและให้ยืมกายอุปกรณ์สำหรับคนสูงอายุ คนป่วย คนพิการ การระดมทุนและทรัพยากรในรูปแบบการทอดผ้าป่า หรือกองบุญ และตัวอย่างที่ดี คือ “ธนาคารเวลา” ที่ส่งเสริมให้คนในชุมชนสะสม “เวลาช่วยเหลือ” เพื่อใช้ในยามที่ตัวเองต้องการความช่วยเหลือในอนาคต รวมถึงการสร้างเครือข่ายชุมชนในพื้นที่จริง และชุมชนเสมือนจริง

5. ส่งเสริมการขยายผลนวัตกรรมและรูปธรรมความสำเร็จจากการปรับตัวเพื่อรับมือสังคมสูงวัย ในบริบทต่าง ๆ ของแต่ละภาคส่วนในสังคม เช่น

• การปรับตัวของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น นโยบายด้านสวัสดิการที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์สังคมสูงวัย , การปรับโครงสร้างพื้นฐานทั้งในเขตเมืองและชนบท ,การปรับระบบการศึกษาให้เท่าทันโลก และเอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงการปรับตัวด้านการบริหารจัดการภาครัฐในทุกสาขา โดยการใช้ความรู้และเทคโนโลยีที่เท่าทันกับยุคสมัย และสอดรับกับความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชน เป็นต้น

• การปรับตัวของภาคธุรกิจเอกชน เช่น แพลตฟอร์มการจ้างงานออนไลน์การออกแบบงานที่ยืดหยุ่นเหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย การใช้ AI และระบบจัดการงานอัตโนมัติ โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) ที่ใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิต ช่วยลดความต้องการแรงงานในสายงานที่ใช้กำลังกายและช่วยให้ผู้สูงอายุที่ยังทำงานได้ การใช้ E-comerce ที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย การใช้ระบบช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง การพัฒนาธุรกิจสีดอกเลา การจ้างงานผู้สูงอายุ CSR เพื่อผู้สูงอายุ เป็นต้น

• การปรับตัวของภาคประชาชน เช่น การปลูกฝังวัฒนธรรมการออมตั้งแต่วัยเด็ก หรืออย่างน้อยก่อนเข้าสู่สูงวัย มีการวางแผนทางการเงินและสุขภาพ การดูแลกันและกันภายในครอบครัว โดยส่งเสริมความเข้าใจและความเคารพในบทบาทของผู้สูงอายุการสร้างชุมชนที่เกื้อกูล การรวมตัวกันในรูปแบบชมรมหรือกลุ่มอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือกันในชุมชน การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการสร้างอาชีพ การบริการ การดูแลช่วยเหลือยามฉุกเฉิน การใช้ศักยภาพของผู้สูงอายุในชุมชนให้เกิดประโยชน์และมีคุณค่า เป็นต้น

“ขอย้ำว่า การพัฒนาสังคมไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืนในบริบทของสังคมสูงวัย ต้องอาศัยความร่วมมือของคนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัยในสังคม”

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

กองทุนประกันสังคม: ถึงเวลาปรับใหญ่ก่อนเผชิญวิกฤต

ระเบิดเวลาประชากร: เกิดน้อย แก่มาก

ฐานะการคลังเสี่ยงสูง รายจ่ายรัฐเพิ่มจากสังคมสูงอายุ

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

สังคมสูงวัย

ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ผู้สูงอายุกลายเป็นนโยบายระดับรัฐบาลครั้งแรกที่มีบทบัญญัติไว้ว่าเป็นหน้าที่ของรัฐ จากนั้นมาทุกรัฐบาลก็มีนโยบายต่อประชากรผู้สูงอายุในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และยิ่งสังคมไทยเริ่มเข้าสู่สังคมสูงอายุขั้นสุดยอด ทำให้รัฐบาลต้องมาดูแลมากยิ่งขึ้น

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: