สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) นำมติสำคัญ ที่เรียกว่า “Social Participation” หรือ “การมีส่วนร่วมของสังคม” ไปเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 77 ณ สำนักงานสหประชาชาติ (Palais Des Nations) นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส และได้รับการรับรองมติจากผู้แทนจาก 194 ประเทศสมาชิกทั่วโลก เมื่อช่วงเดือน มิ.ย. 67
ในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 17 ประจำปีนี้ จึงเป็นโอกาสดีอีกครั้งที่จะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของมติดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการรวมตัวและส่งเสียงสะท้อนแลกเปลี่ยนของเครือข่ายคนทำงาน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง และขับเคลื่อนนโยบายทางสุขภาพร่วมกัน
บทความชิ้นนี้ จึงชวนฟังเสียงของผู้คนถึงมุมมองต่อกระบวนการ “การมีส่วนร่วมของสังคม” หรือ “Social Participation” ว่ามีความสำคัญอย่างไรต่อระบบการดูแลสุขภาพของเรา ผ่านสายตาของเยาวชนไทยและระดับนานาชาติ
นพ.อองตวน บัวแว็ง (Antoine Boivin) แพทย์และนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยมอนทรีออล (แคนาดา) และผู้อำนวยการร่วมแห่ง Canada Research Chair ด้านความร่วมมือผู้ป่วยและชุมชน คือหนึ่งในบุคลากรสุขภาพที่ทำงานกับชุมชนและกลุ่มคนยากจนเขตเมืองในประเทศแคนาดา ด้วยประสบการณ์ทั้งวัยเรียนและวัยทำงานที่ต้องคลุกคลีกับความเจ็บป่วยและความยากจนมาโดยตลอด ทำให้เขามีสายตาต่อระบบสุขภาพที่ต่างออกไป
“ตอนผมเป็นนักศึกษาแพทย์ ผมไปเป็นอาสาสมัครของค่ายฤดูร้อนแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีเด็ก ๆ ที่ป่วยเป็นมะเร็งอยู่ด้วย ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าผมคือหมอ ผมแค่ไปนั่งเล่นกีต้าร์แล้วก็ร้องเพลง แต่นั่นทำให้ผมเห็นอะไรมากมาย
“ผมได้เห็นว่าเด็กที่ป่วย ๆ มีการช่วยเหลือกันเองอย่างไร หรือคนเป็นพ่อแม่ดูแลกันเองอย่างไร มันทำให้ผมตระหนักได้ว่า มันคือการช่วยเหลือสนับสนุนที่ทุกคนมีต่อกัน ทั้งในครอบครัวและในชุมชน

นพ.อองตวน บัวแว็ง (Antoine Boivin) แพทย์และนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยมอนทรีออล (แคนาดา) และผู้อำนวยการร่วมแห่ง Canada Research Chair ด้านความร่วมมือผู้ป่วยและชุมชน
และนี่เอง ที่ทำให้อองตวนหลงใหลเรื่อง “การมีส่วนร่วมของสังคม” หรือ “social participation” เข้าอย่างจัง จนกระทั่งทำการวิจัยค้นคว้าเรื่องดังกล่าวมากว่า 20 ปี
“ตอนนี้ ผมทำงานกับชุมชนยากจนที่อยู่ในเมืองใหญ่ของแคนาดา วิธีการทำงานของผม คือ การรวบรวมสมาชิกชุมชนให้เข้ามาอยู่ในทีมดูแลสุขภาพ ผมได้เจอกับหญิงคนหนึ่งที่เจ็บป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรม เธอผ่านการรักษาโรคมะเร็งมาถึง 3 ชนิด และยังสูญเสียลูกสาวจากโรคทางเดินหายใจ แต่วันนี้เธอกลายมาเป็นหนึ่งในทีมดูแลสุขภาพ แบ่งปันภูมิปัญญา ความรู้ และความหวังแก่ผู้คนที่กำลังเผชิญกับความท้าทายของจิตใจและร่างกายที่กำลังเจ็บป่วยด้วย”
อองตวนอธิบายว่า จากการทำงานมาตลอดหลาย 10 ปี ข้อค้นพบสำคัญที่เขาค้นเจอคือการเชื่อว่า “สุขภาพ” ไม่ได้เกิดจากหมอ พยาบาล หรือโรงพยาบาลอย่างที่พวกเราเคยรับรู้เท่านั้น แต่ต้องสร้างขึ้นจาก “ผู้คน” และ “ชุมชน” ต่างหาก
“สำหรับเด็กเล็ก ผู้ดูแลคนแรกของเขาคือพ่อแม่ และเมื่อพ่อแม่อยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ผู้ดูแลคนแรกก็มักจะเป็นลูก ๆ เช่นกัน หรือบางครั้งอาจเพื่อนฝูง หรือเพื่อนบ้าน ดังนั้น สุขภาพจะเกิดไม่ได้เลย หากปราศจากการดูแลร่วมกันของผู้คนรอบตัว
“นี่คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ แต่เรากลับไม่เคยได้เห็นสิ่งนี้ในระบบการดูแลสุขภาพเลย ไม่ว่าจะเป็นที่โรงพยาบาลหรือคลินิก ดังนั้น หน้าที่ของผมคือการเชื่อม 2 โลกใบเข้าด้วยกัน โลกใบแรกคือระบบ และโลกอีกใบหนึ่งคือชุมชน” นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยมอนทรีออล อธิบาย
Social Participation แบบไทยในสายตาต่างชาติ
อองตวน ยังอธิบายต่อว่า การได้เห็นกระบวนการ social participation ในประเทศไทย สร้างแรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากถูกออกแบบมาให้จับต้องเป็นรูปธรรมและยังทำให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้
“ผมเห็นว่า social participation ของไทย สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ในเชิงสุขภาพที่จับต้องได้อย่างแท้จริง ผมได้เห็นชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย มีการทำงานร่วมกับคนที่ขาดที่พักพิง เพื่ออกแบบสถานที่พักหรือบ้านที่พวกเขาต้องการได้ด้วยตัวเองโดยผ่านความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย
“ในงานประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งนี้ ผมเห็นคนไทยกว่า 1,000 คนมารวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเสนอการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย และยังมีประชาชนในระดับท้องถิ่นอีกกว่า 1 ล้านคน ที่กำลังทำงานเป็นอาสาสมัครชุมชน พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมและสละเวลาเพื่อช่วยเหลือสมาชิกคนอื่น ๆ ในชุมชน สิ่งนี้เป็นความแข็งแกร่งที่น่าทึ่ง และควรเป็นแรงบันดาลใจให้กับประเทศอื่น รวมทั้งแคนาดาด้วย
“การมาเยือนประเทศไทยของผมสร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก ผมพบว่าประเทศไทยเป็นสมบัติล้ำค่าระดับนานาชาติ สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจและซาบซึ้งที่สุดคือการได้เห็นว่าระบบสุขภาพของไทยถูกออกแบบมาสำหรับทุกคนที่ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้”
ความท้าท้ายของ Social Participation
ระบบที่ว่าดีนั้น อย่างไรก็ย่อมมีความท้าทาย social participation ก็เช่นกัน หากถามถึงข้อจำกัดในการใช้วิธีดังกล่าว อองตวน ตอบอย่างมั่นใจว่า สิ่งที่ท้าทายที่สุด คือ การเปลี่ยน “ความคิด” และ “หัวใจ” ของผู้คน
“ตอนผมฝึกงานในฐานะแพทย์ ผมเชื่อว่าพวกเราคือผู้กอบกู้ชีวิต สุขภาพของผู้คนขึ้นอยู่ในมือของพวกเรา และเราจำเป็นต้องช่วยเหลือเขา แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดแล้ว ผมตระหนักว่า แท้จริงแล้วพวกเราเป็นเพียงพาร์ทเนอร์ของผู้ป่วยต่างหาก
“ผมอาจรู้บางสิ่ง แต่ผมก็ยังไม่รู้อีกหลายสิ่ง เพราะพวกคุณคือผู้เชี่ยวชาญในชีวิตตัวเอง หากหมอกับคนไข้ไม่ได้ทำงานร่วมกันในฐานะพาร์ทเนอร์ เราก็ไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหาสุขภาพที่เหมาะสมได้” อองตวนทิ้งท้าย
ด้าน เฟอร์นันโด ซัสโซ่ พิกัตโต (Fernando Zasso Pigatto) ประธานสภาสุขภาพแห่งชาติ ประเทศบราซิล ชวนให้เรามองไปไกลกว่าในระดับส่วนบุคคลหรือชุมชน แต่ควรมองไปถึงระดับนโยบาย
“ความท้าทายที่สุดของ social participation คือ การแน่ใจว่า ประชาชนทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจต่อการกำหนดนโยบายสุขภาพ และรัฐต้องรับประกันได้ว่าสิ่งนั้นจะถูกดำเนินการอย่างเหมาะสม ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของการติดตามและประเมินผลว่า social participation นั้น ได้รับการดำเนินการโดยรัฐบาลตามเป้าหมายหรือไม่”

เฟอร์นันโด ซัสโซ่ พิกัตโต (Fernando Zasso Pigatto) ประธานสภาสุขภาพแห่งชาติ ประเทศบราซิล
ประธานสภาสุขภาพแห่งชาติบราซิลยังเล่าให้ฟังอีกว่า ในประเทศของเขานั้นมีการประชุมสุขภาพแห่งชาติ (The National Health Conference) ที่จัดขึ้นทุก 4 ปี มีรูปแบบคล้ายกับงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในบ้านเราที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเช่นกัน การเห็นต้นแบบในประเทศไทยที่สามารถจัดงานอย่างต่อเนื่องทุกปีได้เช่นนี้ ทำให้อยากขยายผลในประเทศของตนเองให้ไปได้ไกลกว่านี้ในอนาคต
“เราอยากทำให้ social participation ในบราซิลเข้มแข็งขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น ด้วยรูปแบบและวิธีการใหม่ ๆ และอยากขยายไปยังประเทศอื่นที่ยังไม่มีกระบวนการนี้ด้วย เช่น ในประเทศแถบอเมริกาใต้ หรือประเทศอื่นที่ใช้ภาษาโปรตุเกส” เฟอร์นันโด ซัสโซ่ พิกัตโต ทิ้งท้าย
ในวันข้างหน้า โลกจะเป็นของเขา – เสียงของคนรุ่นใหม่ ต้องไม่ถูกละเลย
หันกลับมามองฝั่งผู้เข้าร่วมชาวไทย ธีรดณย์ ศักดิ์เพชร หรือ แชมป์ ประธานนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้เล่าให้เราฟังว่า ตนเองผ่านการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด จึงเห็นความสำคัญของกระบวนการมีส่วนร่วมของสังคมว่ามีความจำเป็นมากเพียงใด
“ผมอยู่ชมรม Global Health ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และยังเป็นคณะจัดงานสมัชชาเยาวชนครั้งแรกของประเทศไทย ผมมีความเชื่อว่า หารเราต้องคิดหรือตัดสินในเรื่องของระบบสุขภาพ เสียงของทุกคน ทุกภาคส่วนสำคัญมาก และหนึ่งในนั้นคือเสียงของเยาวชน

ธีรดณย์ ศักดิ์เพชร ประธานนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ตอนนี้เราอาจยังเป็นแค่นิสิต แต่ต่อไปเราต้องเรียนจบไปเป็นหมอ ผมคิดว่าถึงตอนนั้นหมอต้องดูแลคนไข้ในสายตาที่กว้างไกลขึ้น คือ ไม่ได้มองแค่ตัวโรคเท่านั้น แต่ต้องมองในเชิงระบบโครงสร้างสุขภาพทั้งประเทศ กระบวนการมีส่วนร่วมทางสังคมจะช่วยให้มองเห็นปัญหาที่แท้จริง เพราะไม่มีใครเข้าใจปัญหา ได้ดีไปกว่าคนที่อยู่กับปัญหาตรงนั้น”
ธีรดณย์ คือ หนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในกระบวนการ social participation และมั่นใจว่ากระบวนการนี้จะทำให้มองเห็นปัญหาและนำไปสู่การออกแบบเพื่อแก้ไขให้ตรงจุดได้อย่างแท้จริง
“หลายปีที่ผ่านมานี้ เราเห็นคนรุ่นใหม่ตื่นตัวกับประเด็นทางสังคมมาก หลายคนมีความคิดอยากลงมือขับเคลื่อนบางอย่าง แต่ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่บ่นในโลกออนไลน์ สุดท้ายก็ทิ้งความสนใจไปเลยทั้ง ๆ ที่ปัญหาก็ยังไม่ได้ถูกแก้
“สิ่งที่คนรุ่นเราต้องการคือ ‘โอกาส’ และ ‘ระบบ’ ที่เอื้อให้เสียงของคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย แต่แม้ว่าพวกเรามีความตั้งใจดี แต่ก็ยังต้องการการสนับสนุนทั้งความสามารถและความรู้ด้วย เพื่อให้เสียงของพวกเราเป็นเสียงที่มีความหมายและเข้าไปมีส่วนร่วมได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การรับฟังเหมือนที่ผ่านมา”
และอีกเพียงไม่กี่สิบปีข้างหน้า เยาวชนคนรุ่นใหม่ในวันนี้ จะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ในวันนี้ต้องไม่หลงลืมที่จะนับรวมพวกเขาเข้าไปด้วย
ประธานนิสิตแพทย์ยังเล่าอีกว่า จากการแลกเปลี่ยนกับผู้เข้าร่วมประเทศอื่น ๆ ทุกตัวแทนประเทศเห็นตรงกันว่า หากทำให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมทางสังคมในประเด็นต่าง ๆ จะเป็นข้อดี เพราะเยาวชนยังมีเรี่ยวแรง มีความคิดสร้างสรรค์ และยังมองเห็นภาพรวมได้มากกว่าเนื่องจากไม่ถูกตีกรอบ แต่ปัญหาที่พบคือ ยังไม่มีการสร้างระบบให้เยาวชนมีระดับการมีส่วนร่วมมากพอ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เริ่มมีกลุ่มองค์กรเยาวชนเกิดขึ้นมากมายในประเทศไทยซึ่งน่าจะขยายผลไปได้มากกว่านี้
ไม่ว่าจะเป็นสายตาของชาวต่างชาติหรือเยาวชนคนรุ่นใหม่ในบ้านเรา ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีสายตาที่มองไปที่เป้าหมายเดียวกัน คือ การสร้างสังคมที่จัดการความเจ็บป่วยได้อย่างเหมาะสมตามบริบท และออกแบบให้ตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง การมีกระบวนการมีส่วนร่วมของสังคม หรือ social participation ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมจึงเป็นเหมือนอาวุธชิ้นสำคัญในการนำทุกคนเข้าถึงระบบสุขภาพที่ดีได้ ไม่ว่าในประเทศไทยหรือในระดับโลก