ThaiPBS Logo

อัพเดทผลกระทบโลกร้อน ไทยปรับตัวได้แค่ไหน?

2 ส.ค. 256810:33 น.
อัพเดทผลกระทบโลกร้อน ไทยปรับตัวได้แค่ไหน?
  • กรมโลกร้อนรายงานไทยลดคาร์บอนเกินเป้า 65 ล้านตัน เตรียมยกระดับแผนลดคาร์บอนแบบเข้มข้นคาดลดได้ 40 %ในปี 2030
  • ปรับแผนใช้พลังงานทดแทนไม่อนุมัติโรงงานถ่านหินใหม่
  • ภาคเกษตรต้องปรับวิธีทำนา เปียกสลับแห้ง ลดก๊าซมีเทน ขณะภาคอุตสาหกรรมปรับกระบวนการผลิตลดคาร์บอน
โลกร้อนขึ้นเกิน 1.5°C ผลกระจากสภาพอากาศสุดขั้วมากขึ้น ไทยกำลังเผชิญภัยพิบัติ ฝนตกหนักน้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่ม ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ขณะที่ทั่วโลกล้มเหลวลดก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีส อาจทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น 3.6° C ภายในปี 2100 ส่งผลให้น้ำทะเลสูงขึ้นท่วม 8 จว. รอบอ่าวไทยรูปตัว ก.

ชัดเจนแล้วว่าทั่วโลก ไม่สามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส  เมื่อเทียบกับปี 1850 หรือยุคปฏิวัติ อุตสาหกรรม ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)  ผลที่ตามมาคือ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้นในหลายทวีปทั่วโลก

“Thai PBS  Policy watch” ประเมินสถานการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก กับ“พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช “อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม  หรือกรมโลกร้อน บอกว่า ต้องยอมรับข้อเท็จจริง จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น)รายงานสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปว่า มีแนวโน้มความรุนแรงที่มากยิ่งขึ้น ตามทิศทางของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยังสูงขึ้นไม่สามารถที่จะลดลงได้รวดเร็ว

ในปี 2024 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5°C  ซึ่งเกินกว่าข้อตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายหลัก คือการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2°C เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม หรือ พยายามจำกัดไม่ให้เกิน 1.5°C.

แต่วันนี้โลกเข้าสู่ภาวะโลกเดือด ตามที่ “อันโตนิโอ กูเตอร์เรส” เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศว่า เราเข้าสู่ยุค “โลกเดือด” (Global Boiling) แทน “โลกร้อน” (Global Warming) ซึ่งหมายความโลกด่านจุดพลิกผัน  หรือ tipping point เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ อุณหภูมิโลกมันเริ่มเกินแล้ว พอมันเกินไปเรื่อยๆ มันจะเกิดการเกินแบบต่อเนื่อง มันก็จะหยุดยั้งไม่ได้ พอหยุดยั้งไม่ได้  เพื่อกระตุ้นการดําเนินการ และความพยายามของทุกประเทศทั่วโลก ว่าตอนนี้โลกเดือด ถ้าคุณไม่เร่งในการทำงานในทุกรูปแบบ คุณอาจจะไม่สามารถที่จะปกป้องโลกนี้ได้นะครับ แล้วการดํารงอยู่ของมนุษย์ก็อาจจะมีปัญหาในอนาคต”

 “ร้อนขึ้น 1องศา” ฝนเปลี่ยน -น้ำท่วมฉับพลัน

อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น เริ่มส่งผลกระทบแล้ว โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเล โดย “พิรุณ” บอกว่า ถ้าเทียบการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลกับเมื่อ 40 ปีที่แล้วเทียบกับ 20 ปีที่ผ่านมาพบว่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 2 เท่า

หากทุกประเทศยังไม่ลดก๊าซเรือนกระจก ตามเป้าหมายข้อตกลงของ Nationally Determined Contribution หรือ NDC จึงมีแนวโน้มกว่า 90% ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะสูงขึ้นไป 3.6° C  ภาย ในปี 2100

หากอุณหภูมิ  3.6° C  ผลกระทบที่ติดตามมาคือการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เนื่องจากการละลายของน้ำแข็ง โดยอาจจะเพิ่มขึ้น 1 เมตร หรือ 2.5 เมตร  ซึ่งหมายถึง ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยอาจจะสูงขึ้น 2.5 เมตร ส่งผลให้น้ำท่วม โดยรอบของอ่าวไทยรอบนอกตัว ก . กว่า 8 จังหวัด โดยระดับน้ำอาจจะท่วมถึง จ.อยุธยา

ในปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเริ่มส่งผลกระทบเกิดขึ้นในไทยแล้ว โดยเฉพาะรูปแบบการตกของ“ฝน”เปลี่ยนไปมีลักษณะการตกแบบกระจุกตัว รวดเร็ว หรือที่เรียกว่า Rain Bomb จนทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน  และดินถล่ม จนทำให้มีหมู่บ้านที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาดินสไลด์มากขึ้น

เผชิญภาวะอากาศสุดขั้ว ต้องบริหารความเสี่ยง

โลกร้อนไม่เพียงทำให้ รูปแบบของฝนเปลี่ยนไป  แต่ยังทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า  “Extreme Climate Event”   หรือ ภาวะภูมิอากาศสุดขั้ว  ที่เริ่มส่งผลกระทบเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย เช่น การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ที่พบว่ามีความรุนแรงมากขึ้น  มีระยะเวลานานขึ้น และมีความถี่มากขึ้น

“ ไทยบางพื้นที่เคยหนาวมาก ตอนนี้ไม่หนาว   หรือ บางพื้นที่อากาศร้อนมาก ขณะที่ฝนตกในปริมาณมาก แต่ทีเคยตกเหนือเขื่อน ไปตกบริเวณใต้เขื่อน ทำให้การบริหารจัดการน้ำ ต้องมีความละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูลที่มีความแม่นยำมากขึ้น”

ภาวะอากาศสุดขั้ว ที่มีภัยพิบัติ น้ำท่วม ภัยแล้ง ทำให้การบริหาจัดการในอนาคต ต้องมีรูปแบบของข้อมูลและการคาดการณ์ที่แม่นยำ  เพื่อตอบสนองต่อภัยพิบัติอย่างรวดเร็วมากขึ้น

ที่ผ่านมาไทยสามารถบริหารจัดการได้ดีขึ้น  “พิรุณ” บอกว่า จะเห็นได้จากองค์กร”เยอรมันวอช” (German watch) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร  ปรับระดับความเสี่ยงของไทยจากปีจัดอันดับประเทศเสี่ยงต่อภัยพิบัติจากเดิมในปี 2019 ไทยอยู่อันดับที่ 34  ลดลงในปี 2022 ลงไปอยู่อันดับที่ 72  ซึ่งถือว่าแนวทางการดำเนินการของไทย อยู่ในทิศทางการปรับตัวเพื่อรับผลกระทบได้ดีขึ้น

ทั่วโลก “ล้มเหลว”ลดปล่อยคาร์บอนไม่ได้ตามเป้าหมาย

ขณะที่อุณหภูมิโลกทะลุ  1.5°C  แต่การลดก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีสของประเทศทั่วโลกยังไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย โดยเป้าหมายในปี 2030 ต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-40 %  แต่ประเทศทั่วโลกสามารถลดลงได้เพียงแค่ 10 % ซึ่งห่างไกลเป้าหมายที่กำหนดไว้

“ตัวเลขภาพรวมการลดก๊าซเรือนกระจกของทั่วโลกลดลง แต่มันต้องลดลงมากกว่านั้นประมาณ 30-40 % แต่มันยังไปไม่ถึง ถ้าถามว่าใกล้เคียงกับเป้าหมายหรือยัง  ต้องบอกว่ายังต้องลดลงไปมาก ยังต้องทำกันอีกมาก เพราะประเทศทั่วโลกรวมกันปล่อย  55 กิกะตัน (Gigaton) ก็คือ 55,000ล้านตันต่อปี  โอ้โห นี่มันมันเยอะมาก”

“พิรุณ” บอกว่า ที่ผ่านมา 197 ประเทศทั่วโลกช่วยกันลดก๊าซเรือนกระจกลง ให้ได้ 30-40 %  แต่สามารถลดลงได้น้อยมาก จาก 55  กิกะตัน เหลือ 53 กิกะตัน ทําให้ทุกประเทศยังต้องพยายามในการที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากขึ้นก่อนที่อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้

ปี 65 ไทย”ลดคาร์บอน”ได้ทะลุเป้าหมาย

กลับมาสู่ประเทศไทยในปี 2565 ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 385 ล้านตันคาร์บอนแบ่งเป็นภาคพลังงานมากสุดประมาณ 65% หรือประมาณ 254 ล้านตัน , ภาคเกษตร  17 %  หรือประมาณ 69 ล้านตัน  ,ภาคอุตสาหกรรม 10.50 %  หรือ 40 ล้านตัน ,ภาคของเสีย 5.75 %  หรือ 22 ล้านตัน

แต่ไทยมีภาคป่าไม้ในการดูดกลับคาร์บอนจำนวน 107 ล้านตันคาร์บอน  ทำให้ยอดรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาพรวมทั้งประเทศเหลือเพียง 250 ล้านตันคาร์บอน

อย่างไรก็ตามเพื่อให้การลดก๊าซเรือนกระจกเป็นไปตามเป้าหมายที่ประกาศในเวทีโลก โดยในปี 2030 หรือ ปี 2573  ต้องลด 30 – 40%   ไทยมีแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกปี 2566-2580 โดยมีทั้งหมด 26 มาตรการในช่วงแรก โฟกัสการลดก๊าซเรือนกระจกใน ภาคพลังงาน และภาคขนส่ง

ผลจากการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย ในปี 2565 ลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 65 ล้านตันคาร์บอน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 60 ล้านตัน

สาขาที่ลดก๊าซเรือนกระจกได้มากที่สุดคือ  สาขาพลังงานที่หันไปใช้พลังงานทดแทนได้มากขึ้นทำให้ลดได้มากถึง 54.6 %กว่าล้านตัน  ส่วนรองลงมาคือภาคขนส่งลดได้น้อยกว่าประมาณ 8-9 แสนตันคาร์บอน เนื่องจากรัฐบาลยังไม่ได้มีแผนการใช้รถ Ev และการขนส่งทางรางยังไม่เต็มระบบ

กล่าวโดยสรุปภาพที่ใหญ่ในการลดก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นภาคพลังงาน ซึ่งแผนดำเนินการที่ผ่านมาไทยมีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์  พลังงานลด

ขณะที่การใช้พลังงานจากถ่านหิน แม้จะยังคงมีอยู่ แต่ไม่มีการอนุมัติโรงงานที่ใช้ถ่านหินใหม่อีกต่อไป โดยโรงงานถ่านหินเดิมอนุญาตให้ใช้จนหมดใบอนุญาติ และจะไม่มีการต้อใบอนุญาตอีกต่อไป

“โรงงานถ่านหินเดิมที่มีอยู่ เรายังให้ใช้จนหมดอายุการใช้งาน เพราะต้องยอมรับความจริงว่า วันนี้ราคาไฟฟ้าจากถ่านหิน ยังถูกกว่าไฟฟ้าแก๊ส และไฟฟ้าที่เป็นพลังงานทดแทน หรือพลังงานทางเลือก แต่ภายในปี 2050 ซึ่งเราตั้งความเป็นกลางทางคาร์บอน มันจะไม่มีการเพิ่มโรงงานถ่านหิน  แต่จะหมดไปตามอายุการใช้งานแล้วมันมีแต่ทยอยลดถ่านหินลงไปตามอายุการใช้งาน แล้วก็เลิกไปในที่สุด”

ยกระดับแผนลดก๊าซเรือนกระจกไปให้ถึงเป้า 2030

หลังดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกตามแผน 26 มาตรการ ไทยได้ยกระดับแผนปฏิบัติการเพิ่มความเข้มขนในการลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น โดยแผนดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี ในเดือน 11 ธันวาคม 2567

แผนการลดก๊าซเรือนกระจก  หรือ Thailand NDC Action Plan 2030 โดยจะดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40 % ตามที่ประกาศในเวทีโลก

สำหรับแผนปฏิบัติการลดก๊าศเรือนกระจกจะแบ่งเป็นการดำเนินการในประเทศ  30  %  รวม 184.8  หรือ 33.3 % ประกอบด้วย

  • ภาคพลังงาน 124.6 ล้านตันคาร์บอน หรือ  22.5 %
  • คมนาคมขนส่ง 45.6 ล้านตันคาร์บอน 8.2 %
  • การจัดการของเสียชุมชนและน้ำเสียอุตสาหกรรม 9.1 ล้านตันคาร์บอน  1.6 %
  • ภาคเกษตร 4.1 ล้านตันคาร์บอน  0.7 %

ส่วนสนับสนุนจากต่างประเทศอีก 10 %    ประกอบด้วย

  • พลังงาน 3.2 ล้านตันคาร์บอน 5.8 %
  • คมนาคมขนส่ง  2.5 ล้านตันคาร์บอน  0.4 %
  • กระบวนการทางอุตสาหกรรม และการใช้ผลิตภัณฑ์    1.1  ล้านตันคาร์บอน  0.02 %
  • ภาคเกษตร    1.1 ล้านตันคาร์บอน  0.2 %

รวมการลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2030  จำนวน 222.3 ล้านตันคาร์บอน หริอ  40 %

ปรับแผนใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น

แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายในปี 2030  “พิรุณ”บอกว่า  ยังต้องลดก๊าซในภาคพลังงานจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นในแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ  โดยกรมโลกร้อนจะส่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภาคพลังงาน โดยกระทรวงพลังงานต้องนำแผนดังกล่าฯไปจัดทำแผนจัดหาพลังงานซึ่งต้องมีสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้ได้ตามเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก

 “มาตรการที่ผ่านความเห็นชอบของ ครม. ที่เป็นแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก เราก็จะมีมาตรการใหม่ ๆ เช่น การผลิตพลังงานไฟฟ้า แบบระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ หรือ BESS (Battery Energy Storage System)  หรือภาคเกษตรต้องปรับวิธีการทำนา แบบเปียกสลับแห้งที่สามารถลดการปล่อยมีเทนได้ หรือการจัดการมูลสัตว์ที่ดีขึ้น”

ส่วนเรื่องการคมนาคมขนส่ง จะมีการขยายระบบเครือข่ายของขนส่งทางรางเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบของการขนส่งทางรถที่ใช้น้ำมันน้อยลง  ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม มีแผนในการเข้าไปสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน หรือการใช้นวัตกรรมในการผลิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น เช่นการปรับปรุงกระบวนการอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์

“ เราทำงานร่วมกับสมาคมคอนกรีต เพื่อพัฒนาซีเมนต์ลดโลกร้อน โดยการเอาวัสดุทดแทนการเผาตัวหินปูนมาใช้  แต่ขณะนี้ยังมีต้นทุนที่สูง ซึ่งต้องหาแหล่งทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ เพื่อให้อุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตได้”

คาดปี 2030 ไทยลดคาร์บอนได้ตามเป้าหมาย

การดำเนินการเรือนกระจกตามแผนปฏิบัติของไทย “พิรุณ” เชื่อว่า สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งผลการดำเนินงานต้องส่งรายงานผลการดำเนินไปยังสหประชาชาติเพื่อให้มีการตรวจสอบว่าสามารถดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกได้จริง

“ เราต้องส่งรายงานให้ยูเอ็น ทุก2 ปีว่าดำเนินการอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นทุกอย่างเนี่ยมันจะมีขั้นมีตอนมีข้อมูลที่ชัดเจนที่ตรวจสอบ เปิดเผยให้กับทุกภาคส่วนได้เห็นขณะเดียวกัน กรมโลกร้อนได้จัดทำข้อมูลนี้เป็นฉบับประชาชนเพื่อให้ประชาชนรับรู้ได้”

ทั้งนี้การดำเนินการเผื่อลดก๊าซเรือนกระจกจะบรรลุเป้าหมายได้ ต้องมี พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดรับฟังความคิดเห็น และเตรียมเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีก่อนเสนอให้รัฐสภาพิจารณา คาดว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ในปี 2569

อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

คาร์บอนเครดิต

คาร์บอนเครดิต คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ "ลด" หรือ "กักเก็บ" ได้จากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกลดก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีหน่วยเป็น "ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า" และสามารถนำคาร์บอนเครดิตไปแลกเปลี่ยนหรือซื้อ-ขายเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ คือ ปัญหาที่ไทยและทั่วโลกให้ความสำคัญและพยายามหาทางรับมือแก้ไข โดยรัฐบาลประกาศสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยในปี 2567 ได้เข้าร่วมประชุม COP29 เพื่อแสดงบทบาทความร่วมมือกับประชาคมโลก

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: