ร่าง พ.ร.บ. Climate Change
ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ ร่าง พ.ร.บ. Climate Change ถูกตั้งความหวังว่าจะเป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ได้ภายในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) โดยปัจจุบันประกอบด้วยร่างทั้งหมด 4 ฉบับ ได้แก่
- 1. ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. เสนอโดย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (ฉบับรัฐบาล)
- 2. ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. เสนอโดย นางสาวศนิวาร บัวบาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกับคณะ
- 3. ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนเครดิต พ.ศ. …. เสนอโดย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกับคณะ
- 4. ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นธรรมและยั่งยืน พ.ศ. … เสนอโดยเครือข่ายประชาชนเพื่อความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ (อยู่ระหว่างการระดมรายชื่อให้ครบ 10,000 รายชื่อ และเตรียมยื่นเสนอต่อรัฐสภาฯ ต่อไป)
รัฐบาล ‘เศรษฐา’ กับการผลักดันไทยเป็น ‘สังคมคาร์บอนต่ำ’
รัฐบาลโดย ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสานต่อนโยบาย ‘Carbon Neutrality’ หรือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งเป็นไปตามข้อสรุปจากการประชุม COP26 สมัยรัฐบาล ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ อดีตนายกรัฐมนตรีโดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียน ในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ เพื่อเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนและนำไปสู่การเปิดประตูบานใหญ่สู่การค้าโลก และเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยและสร้างข้อได้เปรียบให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการในประเทศ และทำให้รัฐบาลสามารถเจรจาการค้าระหว่างประเทศภายใต้กฎกติกาใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
- เพิ่มเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution หรือ NDC) จากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 40 ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยบูรณาการในนโยบายที่สำคัญของประเทศ ซึ่งรวมถึงในยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13
- ภาคพลังงาน มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง รวมถึงการเตรียมการยกเลิกผลิตพลังงานโดยใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในด้านพลังงานได้ร้อยละ 15 วางแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน ผ่านโครงการ Utility Green Tariff สนับสนุนการใช้โซลาร์รูฟท็อปและการวัดแสงสุทธิ (net metering) รวมถึงสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
- ภาคการเกษตร เป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหาร นำร่องปรับเปลี่ยนวิธีการทำนาแบบปัจจุบันไปสู่การทำนาที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยั่งยืน มีประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิต มุ่งเน้นการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ BCG เพื่อพัฒนาสังคมแบบองค์รวม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมทั้งเพิ่มคุณค่าให้กับความหลากหลายทางชีวภาพ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจที่เน้นนวัตกรรม ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพของทรัพยากรหมุนเวียนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน
- ภาคป่าไม้ โดยเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอน โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภทให้ครอบคลุมร้อยละ 55 ของพื้นที่ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2037 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 120 ล้านตันต่อปี
- ภาคการเงินสีเขียว (Green Finance) โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุม Financing for the Future Summit ว่าจะส่งเสริมกลไกการเงินสีเขียวอย่างแข็งขัน ผ่านการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนทั่วโลก ปัจจุบันสามารถระดมทุนได้ถึง 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนำไปสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ได้มากมาย รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินสายใหม่ และโครงการปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงวางแผนออกพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (Sustainability Linked Bonds)อีกชุดในปีหน้า และจะระดมทุนให้ได้ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมทั้งพัฒนาการจัดทำมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (Thailand Green Taxonomy) เพื่อเป็นเครื่องกำหนดมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการเงิน สามารถกำหนดนโยบาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และการลงทุน ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยในทุกมิติ
- จัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมขึ้น เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยนายกรัฐมนตรีผลักดันให้ผ่านพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อควบคุมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบบังคับ ซึ่งส่วนนี้จะวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
วาระระดับโลก กับเวที COP28
ในปี 2566 นี้มีการประชุม COP28 ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ซึ่งปี 2566 นี้ รัฐบาลไทยได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุม COP28 มีผู้นำโลกเกือบ 200 ประเทศเข้าร่วม เพื่อประสานงานการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศโลก โดยมุ่งเน้นไปที่การติดตามเร่งรัดการมุ่งหน้าสู่การใช้แหล่งพลังงานสะอาด และ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ได้ก่อนปี 2030 เพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส
ประเด็นในการประชุม COP28 ที่สำคัญ
- 1. เร่งดำเนินการเปลี่ยนไปสู่แหล่งพลังงานสะอาด เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อนปี 2593
- 2. เปลี่ยนโฉมการเงินสำหรับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศให้ประเทศที่ยากจนและดำเนินการในข้อตกลงใหม่สำหรับประเทศกำลังพัฒนา
- 3. มุ่งเน้นไปที่ผลกระทบต่อธรรมชาติและผู้คน
- 4. ให้ COP28 เป็นการประชุมที่ครอบคลุมในประเด็นปัญหามากที่สุด
นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตัวแทนผู้นำประเทศไทยเข้าร่วม คือ ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะทำงานเข้าร่วม เพื่อแสดงความมุ่งมั่นของประเทศไทย ตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด 40% ภายในปี ค.ศ. 2030 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065
4 ข้อเสนอของไทยเตรียมไปเสนอเวที COP28
จากข้อสรุปการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 2 (Thailand climate Action Conference : TCAC 2023) เมื่อ 16 ตุลาคม 2566 ที่มีการนำเสนอ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนำไปรายงานใน COP28 4 ประเด็นหลัก คือ
- การขับเคลื่อนนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก ระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับพื้นที่
- เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- กลไกการเงินด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพของกองทุนสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต
- การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในทุกระดับ
โดยในเวทีการประชุม พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ขึ้นกล่าวจุดยืนประเทศไทย ดังนี้
- ประเทศไทย คนไทยมีความตื่นตัวเรื่องโลกร้อนมากขึ้น ขอยืนยันว่าประเทศไทยได้ทำตามสิ่งที่เราให้คำมั่นไว้อย่างแน่นอน วันนี้ประเทศไทยมาเข้าร่วมประชุม COP28 เพื่อแสดงถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานในประเทศที่จัดเจนและเป็นรูปธรรม และพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อดำเนินการต่อไป
- ประเทศไทยได้ปรับปรุงแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก ตามเป้าหมายการมีส่วนร่วม ตามที่ประเทศกำหนดปี 2030 ครอบคลุมทุกภาคส่วนซึ่งคาดว่า จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในปี 2025 โดยจะต้องปรับเปลี่ยนระบบนิเวศเศรษฐกิจ ให้รองรับการเปลี่ยนแปลงที่คำนึงถึงประชาชนทุกภาคส่วน
- ประเทศไทยเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นการกำกับดูแลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มขีดความสามาถในการปรับตัว โดยมีกลไกการเงินที่เหมาะสม และเข้าถึงได้ เพื่อเปลี่ยนผ่าไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อย่างเป็นระบบ
- ประเทศไทยได้จัดทำแผนปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อเป็นกรอบหลักในการสร้างภูมิคุ้มกัน อย่างยั่งยืนให้กับประชาชน และจะสนับสนุนเป้าหมายระดับโลกด้านการปรับตัวอีกด้วย ประเทศไทยกำลังผลักดันตัวอย่างของการปรับตัวในภาคเกษตรเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ควบคู่กับการรักษาความมั่นคงทางอาหาร ผ่านโครงการเพื่อเพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวซึ่งเท่าทันต่อภูมิอากาศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนภูมิอากาศสีเขียว การระดมเงินแสนล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2025 ไปถึงจำนวนล้านล้านเหรียญสหรัฐ จะเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการบรรลุเป้าหมายของประเทศที่กำลังพัฒนา
- ทั้งนี้ไทย ในฐานะรัฐภาคี ยินที่จะได้เห็นความชัดเจนของกองทุนฯ ใน COP28 และหวังว่าการประเมินสถานการณ์และการดำเนินการสู่ 1.5 องศาเซลเซียส ตามเป้าหมายความตกลงปารีส โลกใบเดียวของเราส่งสัญญาณแล้วว่า ปี 2023 กำลังจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ ว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดที่เราทุกคนจะต้องลงมือทำเพื่อให้ลูกหลานของเรา มีโลกใบนี้ที่จะอาศัยอยู่ได้ต่อไป
นอกจากนี้ในช่วงเดียวกับที่มีการประชุม COP28 ไทยได้จัดนิทรรศการและกิจกรรมคู่ขนาน (Side Event) เกี่ยวกับผลการดำเนินการของประเทศไทย ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นการเผยแพร่ข้อมูล และนำเสนอผลการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยสู่ประชาคมโลก รวมทั้งเป็นเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างนักวิชาการ ผู้แทนรัฐบาล องค์กรเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ ณ Thailand Pavilion
หัวข้อนิทรรศการสำคัญ
- แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย พ.ศ. 2564 – 2573 (NDC Roadmap)
- แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เครื่องมือกลไกภายใน และระหว่างประเทศ Thailand Innovation Zone
- กิจกรรมคู่ขนาน (Side Event) ภายใต้แนวคิด ‘Climate Partnership Determination’ ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายภาครัฐ และเอกชน รวมถึงเยาวชน และสถาบันการศึกษา รวมกว่า 20 หน่วยงาน
แหล่งอ้างอิง