การแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกได้เข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย ดำเนินการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ภายใต้กรอบของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) หรือที่หลายคนคุ้นชินกับชื่อการประชุมภาคีที่เรียกว่า ประชุม COP (Conference of the Parties)
ภายใต้กรอบการประชุม COP ทุกประเทศ รัฐภาคี ต้องตั้งเป้าหมายลดคาร์บอน พร้อมแสดงความโปร่งใสในการดำเนินงานผ่านสองเครื่องมือสำคัญ คือ แผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution หรือ NDC) และ รายงานความโปร่งใสในระยะสองปี (Biennial Transparency Report หรือ BTR)
ถ้อยแถลงสัญญา จาก COP29
ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายชัดเจนในการประชุมระดับสูงของ COP ครั้งที่ 29 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน โดยมุ่งตามเป้า NDC สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ครอบคลุมทั้งภาคพลังงาน อุตสาหกรรม การขนส่ง และการเกษตร พร้อมทั้งผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดและการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว
จากถ้อยแถลงของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการประชุม COP29 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน มีประเด็นสำคัญดังนี้:
- นำเสนอผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไทยเผชิญ ได้แก่ คลื่นความร้อนสูงถึง 43 องศา น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะหญ้าทะเลที่ส่งผลให้ประชากรพะยูนลดลง 50% ในเวลาไม่ถึง 6 ปี
- ยืนยันเป้าหมาย NDC 2030 ในการลดก๊าซเรือนกระจก 222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ใน 5 ภาคส่วน ได้แก่ พลังงาน ขนส่ง ขยะ กระบวนการอุตสาหกรรม และการเกษตร
- ประกาศเป้าหมาย NDC 3.0 ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ต่ำกว่า 270 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าจากระดับปี 2019 ภายในปี 2035 พร้อมเพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกในภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ได้ 120 ล้านตันภายในปี 2037
- เน้นย้ำการดำเนินงานด้านการปรับตัวผ่านแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติใน 6 ด้าน และผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- เรียกร้องให้เร่งจัดทำเป้าหมายการเงินด้านสภาพภูมิอากาศใหม่ (NCQG) และแนวทางการดำเนินงานของกองทุนเพื่อความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage Fund) เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบ
เมื่อเทียบคำแถลงการณ์จากตัวแทนแต่ละประเทศในอาเซียน บนเวที COP29 ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเป้าหมายท้าทาย โดยมีสิงคโปร์ กัมพูชาและมาเลเซียตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050 เช่นกัน และก็พบว่ามีบางประเทศที่มีการขยับเป้าหมาย ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศ และโลกมากยิ่งขึ้น
แถลงการณ์ของแต่ละรัฐภาคี สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในการรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศในอาเซียนอย่างชัดเจน สิงคโปร์และมาเลเซียแสดงความมุ่งมั่นด้วยการประกาศนโยบายภาษีคาร์บอนที่เข้มงวดขึ้น บรูไนเน้นย้ำเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่ป่าและพลังงานหมุนเวียน กัมพูชามุ่งเน้นการลดขยะพลาสติกและเพิ่มพื้นที่ป่าสงวน ขณะที่เมียนมาไม่ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ความแตกต่าง และความมุ่งมั่นของแต่ละประเทศ ยังถูกสะท้อนผ่านบูธ Pavilion ที่แต่ละประเทศสามารถเลือกจัดนิทรรศการแสดงผลงานสิ่งแวดล้อมหรือไม่ก็ได้ และจำนวนตัวแทนประเทศในการประชุม COP ครั้งนี้
Pavilion ของ 5 ประเทศในอาเซียนบนเวที COP ได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศที่น่าสนใจและหลากหลาย โดยไทยได้สร้างความฮือฮาด้วยการนำเสนอ “หมูเด้ง” เพื่อสื่อถึงความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารและโยงเข้ากับนวัตกรรมเทคโนโลยี สิงคโปร์และมาเลเซียเน้นย้ำถึงความสำคัญของตลาดคาร์บอนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฟิลิปปินส์ในฐานะเจ้าภาพการประชุมเรื่องกองทุนความสูญเสียและเสียหายครั้งที่ 4 ได้นำเสนอแนวทางในการจัดการกองทุนเพื่อช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง และอินโดนีเซียได้แบ่งปันประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น โดยคำนึงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาพื้นบ้าน
National Statement หรือคำแถลงการณ์จากแต่ละประเทศบนเวทีการประชุมระดับสูง รวมถึงบูธ Pavilion ใน COP สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายภายในประเทศที่ส่งผลต่อความสามารถในการรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ประเทศอาเซียนส่วนใหญ่ยังคงเรียกร้องให้ประเทศพัฒนาแล้วให้การสนับสนุนทางการเงิน เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวเข้ากับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
2025 ไทยส่งการบ้านวิชาสิ่งแวดล้อม
คำแถลงการณ์ในเวที COP ที่ผ่านมาเป็นอีกจุดสำคัญที่ชี้ให้เห็นการอัพเดทงานและความเปลี่ยนแปลงของแต่ละประเทศ ซึ่งสะท้อนและสอดคล้องไปกับ NDC แผนการทำงาน 10 ปีที่แต่ละประเทศกำหนดเอง ที่ระบุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการที่จะนำไปลงมือปฏิบัติ โดยแผนนี้จะต้องมีปรับปรุงและส่งให้ COP ใหม่ทุก 5 ปี ส่วน BTR เป็นเสมือนใบรายงานผลการบ้านของแต่ละประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศนั้น ๆ ทำตามเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ได้ตั้งไว้ใน NDC หรือไม่ โดยรายงานนี้จะต้องส่งทุก 2 ปี
เดดไลน์การส่ง BTR ฉบับแรกภายใน 31 ธันวาคม 2024 จะเป็นบททดสอบสำคัญของทุกประเทศ เนื่องจากเป็นการรายงานความคืบหน้าในรูปแบบเดียวกัน ทำให้เปรียบเทียบความพยายามระหว่างประเทศได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง
ขณะเดียวกัน NDC ฉบับที่ 3 ที่มีกำหนดส่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2025 จะสะท้อนว่าเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยและประเทศต่าง ๆ จะปรับเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับวิกฤตโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นหรือไม่ หลังจากที่ NDC ฉบับที่ 2 ไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% – 40% ภายในปี 2030
การประชุม COP30 ในช่วงสิ้นปี 2025 ที่เมืองเบเลมของประเทศบราซิล จะเป็นเวทีสำคัญในการการขีดเส้นทางการเดินหน้าแก้ปัญหาคาร์บอนในระดับประเทศและในระดับนานาชาติ พร้อมทั้งติดตามว่าที่ผ่านมาแต่ละประเทศสามารถดำเนินการตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ได้จริงหรือไม่ เพราะการรับมือวิกฤตโลกร้อนไม่ได้ขึ้นอยู่กับประกาศเป้าหมายอย่างใน NDCs แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามประกาศและข้อตกลงเหล่านั้นอย่างจริงจังของทุกประเทศ