ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวานนี้ 25 ธ.ค. 67 ลงมติผ่านการพิจราณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. … (ร่าง พ.ร.บ.ประมง) ด้วยเสียงข้างมาก 366 เสียง และไม่มีผู้ไม่เห็นด้วย
3 ประเด็นสำคัญที่กำลังเป็นที่ถกเถียงของสังคม ได้รับการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ มาตรา 10/1, 11, 11/1 เป็นการผ่อนคลายมาตรการคุ้มครองแรงงานในภาคการแปรรูปอาหารทะเล, มาตรา 69 เป็นการอนุญาตให้ใช้อวนล้อมจับปั่นไฟด้วยอวนตาถี่ และมาตรา 85/1 เป็นการอนุญาตให้ขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลระหว่างเรือประมง)
หลังจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.ประมง จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาในชั้นวุฒิสภา วาระ 1-3 หากขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้นจะถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ร่าง พ.ร.บ.ประมง เสี่ยงกระทบสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
ดอมินิก ทอมสัน ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (EJF) ระบุว่า การยกเลิกมาตรการคุ้มครองแรงงานในภาคการแปรรูปอาหารทะเล ในมาตรา 10/1, 11, 11/1 จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่แรงงานในอุตสาหกรรมประมงจะถูกละเมิดสิทธิพื้นฐานอีกครั้ง โดยมาตรการเหล่านี้เคยเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการใช้แรงงานเด็กและแรงงานข้ามชาติที่มีความเปราะบางในโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ การยกเลิกมาตรการดังกล่าวเป็นการลดทอนการคุ้มครองแรงงานที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายแรงงานทั่วไปไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาเฉพาะตัวของอุตสาหกรรมนี้
การอนุญาตใช้อวนล้อมจับปั่นไฟด้วยอวนตาถี่ ในมาตรา 69 ถือเป็นการสนับสนุนให้ใช้อวนล้อมจับด้วยอวนตาถี่ในเวลากลางคืน ส่งผลให้เกิดการจับสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนจำนวนมาก ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศชายฝั่งในระยะยาว แม้ว่าจะมีการจำกัดพื้นที่ใช้งานนอกเขต 12 ไมล์ทะเล แต่ในทางปฏิบัติการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายยังเป็นที่น่าสงสัยว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด การเปิดช่องให้ใช้เครื่องมือที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาตินี้ สวนทางกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ประเทศไทยยึดถือ
การอนุญาตการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลระหว่างเรือประมง ในมาตรา 85/1 จะเป็นการการอนุญาตขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลระหว่างเรือประมงอีกครั้ง อาจสร้างช่องโหว่ให้เกิดการผสมสัตว์น้ำที่จับได้อย่างผิดกฎหมายกับสัตว์น้ำที่มาจากแหล่งถูกกฎหมาย ทำให้กระบวนการตรวจสอบย้อนกลับในห่วงโซ่อุปทานเป็นไปได้ยากขึ้น ความเคลื่อนไหวนี้ขัดกับความพยายามของไทยในการรับรองความโปร่งใสและการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านประมงที่ยั่งยืนและปราศจากการใช้แรงงานที่ไม่เป็นธรรม
การลงมติทั้งสามประเด็นข้างต้นสะท้อนถึงการตัดสินใจที่ละเลยความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมการประมงและการแปรรูปสัตว์น้ำ นโยบายที่ผ่อนคลายเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะประเทศที่มุ่งมั่นปรับปรุงการบริหารจัดการทรัพยากรประมงและการเคารพสิทธิมนุษยชน อาจทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นจากพันธมิตรระหว่างประเทศและผู้บริโภคทั่วโลก
ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ EJF ยังมองว่า การลงมติดังกล่าว โดยเฉพาะมาตรา 69 และ 85/1 เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มเจ้าของเรือที่ร่ำรวยเพียงไม่กี่กลุ่ม ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อชาวประมงพื้นบ้านจำนวนมากรวมทั้งชุมชนชายฝั่งที่เปราะบาง ที่พึ่งพาการประมงเพื่อความอยู่รอด ความจริงที่ว่าอุตสาหกรรมการประมงของไทยจำนวนมากกำลังฟื้นตัวและมีมากขึ้นเนื่องมาจากการปฏิรูปล่าสุด ทำให้การย้อนกลับเหล่านี้ยิ่งไร้เหตุผลและไร้ประโยชน์ยิ่งขึ้น
แม้ EJF ว่าจะยินดีที่ร่าง พ.ร.บ. ประมง ที่ได้รับความเห็นชอบดังกล่าวจะเป็นร่างที่ดีกว่าร่าง พ.ร.บ. ประมง ทั้งเป็น 8 ร่างที่ได้ผ่านวาระ 1 อย่างเป็นเอกฉันท์ในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา แต่ผิดหวังต่อมติของสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้จะสร้างผลกระทบร้ายแรงทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยกลับมาทบทวนร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อรักษาความมุ่งมั่นต่อความโปร่งใสและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมประมง พร้อมปกป้องสิทธิแรงงานและชุมชนประมงชายฝั่ง
ขัดหลัก IUU Fishing ยุโรป
ในปี 2558 สหภาพยุโรป (EU) เคยให้ใบเหลืองกับไทย โดยแจ้งให้แก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) ซึ่งเป็นกฎระเบียบของสหภาพยุโรป หลังจากนั้นในปี 2562 ก็ได้มีการปลดใบเหลืองออก หลังรัฐบาลไทยไดัมีการลงทุนและปฏิรูปครั้งใหญ่ในด้านการประมง
โดยมีพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และฉบับแก้ไข ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรงที่สุด ปรับสูงสุดถึง 30 ล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยได้จัดทำแผนบริหารจัดการประมงระดับชาติ จัดทำระบบติดตามเรือประมง (Vessel Monitoring System หรือ VMS) ทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมเรือประมงไทยด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย
มีการจัดตั้งศูนย์ PIPO (Port-inPort-out Center) ใน 22 จังหวัดชายทะเล จัดสรรอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเรือประมงเพิ่มเติมอีกกว่า 200 ตำแหน่ง เพื่อตรวจสอบเรือประมงที่ท่าเทียบเรือก่อนออกไปทำประมงและหลังจากกลับจากทำประมง จัดทำระบบการออกใบอนุญาตทำประมงแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยจัดเก็บข้อมูลใบอนุญาตระบบคอมพิวเตอร์ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบใบอนุญาตผ่านคิวอาร์โค้ด (QR Code) รวมถึงกำหนดให้เรือประมงติดเครื่องหมายรหัสใบอนุญาตไว้บนเรืออย่างเด่นชัด สามารถตรวจสอบได้ง่ายว่าเรือประมงนั้นมีใบอนุญาตหรือไม่
อียูจับตาแก้กฎหมายประมงไทย ยันกระทบเจรจา FTA
อย่างไรก็ตามล่าสุด สหภาพยุโรป ได้กลับมาเฝ้าจับตาไทยอีกครั้ง เพราะกังวลถึงการแก้ไข พ.ร.บ.ประมงฉบับใหม่ดังกล่าว อาจกระทบความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทย-สหภาพยุโรป ที่กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งแรกนับตั้งแต่โดนระงับไปในปี 2557 หลังเกิดการรัฐประหารในไทย
ทั้งนี้ สหภาพยุโรป ให้ความสำคัญกับสินค้าอาหารทะเลที่นำเข้าจากประเทศต่าง ๆ จะต้องไม่มาจากการทำประมงที่ผิดกฎหมาย และหรือละเมิดสิทธิมนุยชน ตามหลัก IUU Fishing โดยประเด็นที่อาจจะกระทบการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป คือ
- การยกเลิกการควบคุมการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเล
- การยกเลิกการควบคุมการเปลี่ยนย้ายลูกเรือกลางทะเล
- การยินยอมให้มีการใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีบนเรือประมง
- การทำให้มาตรการเชิงลงโทษที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการทำประมง IUU Fishing อ่อนแอลง
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง