ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขชี้ให้เห็นว่าภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการตายจากโรคมะเร็งปอดและความชุกของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มากกว่าภาคอื่น ๆ แม้สถิติดังกล่าวจะไม่ได้บอกว่า PM 2.5 คือ ปัจจัยเดียวของการเกิดโรค แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท้องฟ้าสีส้มอมฝุ่นในภาคเหนือ กลายมาเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐไทยต้องให้ความสำคัญไม่แพ้เรื่องเศรษฐกิจและสังคมอื่น ๆ
ปัญหาฝุ่นพิษในไทยมีความซับซ้อน ตัวละครไม่ได้มีเพียงแค่ชาวบ้านหรือเกษตรกรในพื้นที่ แต่รวมถึงนายทุนและประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน คงจะดีไม่น้อยหากเรารู้ว่าจะทำอย่างไรให้ฝุ่นพิษหายไป ไม่กลับมารังควานเฉกเช่นที่เป็นอยู่ แต่กว่าที่วันนั้นจะมาถึง มีอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ไม่ควรถูกมองข้าม นั่นคือกรอบแนวคิด (Framework) ในการตัดสินใจของภาครัฐ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ในการออกนโยบายหรือมาตรการใด ๆ เพื่อลดกระทบที่เกิดขึ้น (แล้ว) จากฝุ่น PM 2.5
เมื่อปี พ.ศ. 2567 หนึ่งในข้อถกเถียงสำคัญคือการประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นเขตพื้นที่ฉุกเฉิน หรือประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ฝ่ายที่เห็นด้วย ระบุว่า การประกาศเป็นเขตพื้นที่ฉุกเฉินเป็นเพิ่มอำนาจให้ภาครัฐในการยกระดับมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็นในการแก้ไขและรับมือกับ PM 2.5 เช่น การสั่ง Work from Home การงดกิจกรรมนอกบ้าน ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ระบุว่า การประกาศดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังประชาชนที่ทำงานในธุรกิจการท่องเที่ยว (โรงแรม ร้านอาหาร) และการค้าขาย
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ประกาศฯ เป็นเครื่องมือในการลดผลกระทบจาก PM 2.5 มองว่าประกาศฯ ดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ฝุ่นหายไป นอกจากนั้น ยังเชื่อในเรื่องของ “Trade Off” หรือการได้อย่างเสียอย่าง ระหว่างมาตรการในการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางสุขภาพจาก PM 2.5 กับผลกระทบของมาตรการดังกล่าวต่อเศรษฐกิจ ในเรื่องนี้นั้น เราอาจพิจารณาบทเรียนจากการระบาดของโรคโควิด-19
ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 นั้น หนึ่งในมาตรการสำคัญในการใช้ควบคุมการระบาดของโรค คือ การล็อกดาวน์ (Lockdown) และการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ในช่วงเวลานั้น ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวอ้างว่า มาตรการเหล่านี้ไม่ได้ทำให้โรคโควิด-19 หายไป (ภายใต้สมมติฐานที่ว่า ยังไงเสีย ทุกคนก็ต้องเป็นโรคโควิด-19) นอกจากนั้น มาตรการยังส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ เพราะทำให้คนต้องอยู่บ้านเฉย ๆ ค้าขายไม่ได้ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักไป การมีความเห็นเช่นนี้แปลว่าพวกเขามีมุมมองว่า ชีวิตและคุณภาพชีวิตของประชาชนมีค่าไม่มากไปกว่าความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ
หากมองเผิน ๆ ดูเหมือนว่าเราจะมีทางเลือก (Choice) ระหว่างการรักษากิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ให้เสียไป โดยที่ไม่ต้องใช้นโยบาย/มาตรการ กับ ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ตามมาหลังการใช้นโยบาย/มาตรการ
แต่บทเรียนจากโควิด-19 บอกกับเราว่า ทางเลือกดังกล่าวไม่มีอยู่จริง (No trade off) เพราะเศรษฐกิจคือชีวิตของประชาชน เศรษฐกิจไม่สามารถดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นและมีเสถียรภาพได้ หากผู้คนต้องเจ็บป่วย ล้มตายจากวิกฤตทางสุขภาพ ผลกระทบในด้านสุขภาพในระยะยาวที่เกิดขึ้นจากการไม่ใช้มาตรการที่สำคัญและจำเป็น ย่อมย้อนกลับมาส่งผลต่อเศรษฐกิจไม่วันใดก็วันหนึ่ง เช่น ค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลสุขภาพของประชาชน
โรคโควิด-19 และ PM 2.5 เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อคนเป็นจำนวนมาก และผู้ได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษย่อมหนีไม่พ้นคนที่ต้องทำงานกลางแจ้ง เช่น พนักงานกวาดขยะ พนักงานขับรถ รวมถึงเกษตรกร การปล่อยให้คนกลุ่มนี้สัมผัส (Exposure) กับ PM 2.5 โดยอ้างเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวและปริมาณการค้าขาย นอกจากจะปราศจากความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์แล้ว ยังสะท้อนถึงมุมมองที่ผิดเพี้ยนในเรื่องของ Trade off ระหว่างมาตรการทางสาธารณสุขและผลกระทบทางเศรษฐกิจ
มาตรการต่าง ๆ ที่เข้มข้น (Stringent measures) เช่น การงดท่องเที่ยวการแจ้ง การสั่งให้หน่วยงานภาครัฐ Work from Home การขอความร่วมมือสถานบริการให้บริการห้องปรับอากาศเป็นลำดับแรก ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในพื้นที่ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว แต่ต้นทุนของมาตรการเหล่านี้สามารถชดเชยได้ด้วยประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากคุณภาพชีวิตของคนที่ถูกปกป้องจากมาตรการต่าง ๆ และภาครัฐสามารถชดเชยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เสียไปผ่านการใช้นโยบาย/มาตรการทางการคลัง เช่น เงินช่วยเหลือผู้ประกอบการ เงินเยียวยาแรงงาน เป็นต้น
แน่นอนว่า มาตรการเหล่านี้ไม่ได้แก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่ต้นตอ ฝุ่นยังคงลอยไปมาท้าทายความสามารถของเราและรัฐอย่างต่อเนื่อง แต่มาตรการเหล่านี้สามารถช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วจากค่าฝุ่นที่เกินค่ามาตรการ
นอกจากนั้น ยังเป็นการเน้นย้ำให้เห็นว่าสุขภาพของคน (ที่เสียแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้) มาก่อนความกินดีอยู่ดีที่ชดเชย/เยียวยาภายหลังได้ เช่นเดียวกันกับการระบาดของโรคโควิด-19 การล็อกดาวน์และการเว้นระยะห่างทางสังคมไม่ได้ทำให้ไวรัสหายไป โลกต้องรอถึงสองปีกว่าที่ประชาชนจะมีวัคซีนให้ได้ฉีด แต่กว่าที่จะถึงวันนั้น ชีวิตคนและคุณภาพชีวิตของคนถูกรักษาไว้ให้เสียหายน้อยที่สุด จากการที่รัฐกล้าตัดสินใจ และวางสุขภาพของคนมาเป็นอันดับ 1 ไม่ใช่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ
บทเรียนสำคัญอีกข้อจากการระบาดของโรคโควิด-19 คือ “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” เศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเฉกเช่นไทยได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพราะไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักและการท่องเที่ยวเป็น sector ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการที่ใช้ในการจัดการกับโรคระบาด ดังนั้น การลดการพึ่งพิง sector ใด sector หนึ่ง จึงถือเป็นการเตรียมรับมือกับวิกฤตอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐในการผลักดันให้เกิดความหลากหลายในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือผลกระทบของ PM 2.5 นั้น ไม่เท่ากันในแต่ละคน จากงานวิจัยล่าสุดของ Ruan et al. (2024) ตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Research โดยใช้ข้อมูลจาก Global Burden of Disease Study ระหว่างปี 1990 ถึง 2019 พบว่า ทั่วโลก โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular diseases: CVDs) ที่เกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก มลพิษในอากาศที่เกิดจากอนุภาคขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร ซึ่งลอยอยู่ในบรรยากาศรอบ ๆ (Ambient PM2.5) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2.48 ล้านคน และมี 60.91 ล้านปีหน่วยวัดปัญหาสุขภาพ (DALYs) โดยเพิ่มขึ้น 122% ระหว่างปี 1990 กับ 2019
นอกจากนั้น พบว่า ภูมิภาคที่มีรายได้ยากจนและปานกลางมีภาระทางสุขภาพจาก CVDs ที่สูงกว่าภูมิภาคที่มีรายได้ที่สูงกว่า เพราะฝุ่นพิษมักกระจุกอยู่ในภูมิภาคที่มีรายได้ยากจนและปานกลาง นั่นหมายความว่า ฝุ่นพิษ PM 2.5 ยิ่งทวีความรุนแรงของความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ ผลกระทบของ PM 2.5 ต่อความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ ทำให้ Yan et al. (2024) เสนอว่า รัฐบาลควรเพิ่มทรัพยากรเพื่อป้องกันผลกระทบจากมลพิษทางอากาศให้กับครอบครัวที่มีระดับของสุขภาพต่ำ มีรายได้ต่ำ และไม่มีประกันสุขภาพ
อากาศสะอาด ปราศจากฝุ่นพิษ คือ สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน การชั่งน้ำหนักระหว่างทางเลือกที่ไม่มีอยู่จริง (มาตรการ vs เศรษฐกิจ) เป็นการต่ออายุให้กับความทุกข์ยากของประชาชน และต้นทุนนี้นับวันยิ่งมีราคาแพง