เงินบาทในปี 2568 ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างมาก จนมีการตั้งข้อสงสัยว่าต้นเหตุอาจเกิดจากการซื้อขายทองคำหรือไม่ เพราะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้มีการนำทองคำออกมาขายจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังกระตุ้นให้การซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้รับความนิยมสูงขึ้น
ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยืนยันว่า ทองคำไม่ได้เป็นปัจจัยหลักกดดันเงินบาทแข็งค่า แต่ก็ได้เตรียมเสนอมาตรการควบคุมธุรกรรมซื้อขายทองคำของร้านทองที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX) ให้มากขึ้น โดยให้กลุ่มผู้ค้าทองคำรายใหญ่รายงานข้อมูลการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามธุรกรรมและประเมินผลกระทบต่อค่าเงินบาท

คนไทยซื้อขายทองแซงหน้าตลาดหุ้น
สถานการณ์ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างมาก โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2568 แข็งค่าขึ้น 9.4% เทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และแข็งค่าขึ้นประมาณ 4.2% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงการคลัง และ ธปท. ระบุสาเหตุมากจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังนักลงทุนปรับคาดการณ์แนวโน้ม การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปัจจัยเฉพาะของไทย โดยเฉพาะการขายเงินตราต่างประเทศ ของกลุ่มบริษัททองคำหลังราคาทองคำปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งการเข้าซื้อตราสารหนี้ ของนักลงทุนต่างชาติในบางจังหวะ
ทั้งนี้ปัจจุบันปริมาณการซื้อขายทองคำในแต่ละวันมีมูลค่ารวมสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนในบางช่วงเวลามีปริมาณการซื้อขายสูงในระดับใกล้เคียงกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ (หุ้น) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
จากข้อมูลของร้านทองรายใหญ่ 8 แห่ง พบมีมูลค่าการซื้อขายทองในปี 68 รายวันเฉลี่ย 65,937 ล้านบาท บางช่วงสูงสุด 255,566 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายรายวันเฉลี่ย 42,417 ล้านบาท บางช่วงสูงสุด 74,437 ล้านบาท

ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้กลุ่มบริษัททองคำเข้าซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงขึ้นมาก จนบางครั้งเกิดการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สุทธิมากถึง 40-50% ของปริมาณการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สุทธิของทั้งประเทศในช่วงนั้น ๆ จึงส่งผลกดดันโดยตรงต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นเร็ว ส่งผลกดดันให้เงินบาทแข็งค่าเร็วนำสกุลภูมิภาค และผันผวนไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

3 มาตรการคุมทองสกัดบาทแข็ง
แม้ที่ผ่านมา ธปท. ผลักดันให้การซื้อขายทองคำไปอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบต่อค่าเงินบาท รวมทั้งได้เพิ่มความเข้มงวดในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศของกลุ่มบริษัททองคำ และให้กลุ่มผู้ค้าทองคำรายใหญ่รายงานข้อมูลการทำธุรกรรมซื้อขายทองคำโดยละเอียด
แต่ผลต่อค่าเงินบาทจากธุรกรรมของบริษัททองคำยังคงสูงต่อเนื่อง กระทรวงการคลัง ธปท. เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) จึงได้ออกแนวทางลดผลกระทบของธุรกรรมซื้อขายทองคำต่อค่าเงินบาท ดังนี้
1. ให้กรมสรรพากรพิจารณาแนวทางการกำหนดให้ผู้ให้บริการซื้อขายทองคำในลักษณะการลงทุนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นำส่งข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายทองคำดังกล่าวให้แก่กรมสรรพากรเช่นเดียวกับแพลตฟอร์มสินค้าหรือบริการออนไลน์ที่มีการนำส่งข้อมูลรายรับที่ได้จากผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการผ่านแพลตฟอร์มให้แก่กรมสรรพากรผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้วในปัจจุบัน
2. ให้กรมสรรพากรพิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากกิจการขายทองคำแท่งของร้านทองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
3. ให้ ธปท. พิจารณาแนวทางการกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำ เช่น การกำหนดเพดานวงเงินการซื้อขายทองคำในแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นต้น
สเตเบิลคอยน์ไม่ส่งผลค่าเงิน
สำหรับประเด็นที่มีข้อสังเกตว่า การซื้อขาย USDT หรือสกุลเงินดิจิทัลประเภท สเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทแข็งค่า ก.ล.ต. และ ตลท. ชี้แจงว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากปริมาณธุรกรรมซื้อขาย USDT รวมถึงยอดการแลกเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) เป็นเงินบาท (THB) ของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล คิดเป็นเพียง 1.22% และ 0.17% ของยอด FX inflow ซึ่งมีจำนวน 29.1 ล้านล้านบาท ตามลำดับ จึงไม่มีนัยยะต่อค่าเงินในระยะต่อไป อย่างไรก็ตามทั้ง 3 หน่วยงานจะได้มีการติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดเพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการค่าเงินบาทที่เหมาะสมต่อไป
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ธปท.ขยับคุมเข้มซื้อขายทอง หลังค่าบาทกลายเป็นสกุลเงิน “ผันผวนสูง”
ไทยไร้หน่วยงานดูแลซื้อขายทอง จ่อคุมเข้มร้านทอง ส่งรายงานธุรกรรม
ราคาทองจะไปหนใด? เมื่อถูกขุดขึ้นมาใช้แล้วครึ่งโลก เริ่มหายาก-ผลิตน้อย-ต้องการสูง




