ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ จากก่อนหน้านี้บรรดาธุรกิจเอสเอ็มอีมักจะเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องและขอความช่วยเหลือจากธนาคารรัฐในเรื่องการเงินแบบผ่อนปรนตามนโยบายรัฐบาล แต่ความท้าทายใหม่กำลัง “ทุบ”ไปที่หัวใจของเอสเอ็มอี นั่นคือ ความสามารถการแข่งขันในยุคสินค้าราคาถูก “ท่วมโลก” และเอสเอ็มอีไทยไม่อาจแข่งขันได้
มาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี มีมาแทบทุกรัฐบาล แต่ในช่วงหลังประเด็นความสามารถในการแข่งขันเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลมุ่งให้ความช่วยเหลือ โดยล่าสุดการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเป็นหนึ่งในนโยบายที่ต้องทำเร่งด่วน (Quick Big Win) ของรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยพยายามวางรากฐานให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ พร้อมกับยกระดับโครงสร้างไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI: บีโอไอ) มีมติเห็นชอบ 2 มาตรการ คือ มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และมาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ ซึ่งจะได้รับเงินสนับสนุนผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
เงื่อนไขเอสเอ็มอีไทยอัพเกรดธุรกิจ
มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นการให้เงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะสนับสนุนเงินทุนในสัดส่วนร้อยละ 30-50 ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อบริษัท โดยผู้ประกอบการจะต้องลงทุนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
- การปรับปรุงประสิทธิภาพกิจการเดิมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีดิจิทัล
- การวิจัยและพัฒนา (R&D)
- การปรับเปลี่ยนกิจการเดิมไปสู่อุตสาหกรรมใหม่และอุตสาหกรรมสีเขียว
ผู้ยื่นขอใช้สิทธิตามมาตรการนี้ จะต้องเป็นนิติบุคคลที่มีหุ้นไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 และต้องอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ถ้าเป็นผู้ประกอบการทั่วไป ขะมีเงื่อนไขลงทุนขั้นต่ำ 50 ล้านบาท แต่กรณีเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ขึ้นทะเบียนในโครงการ SME ONE ID ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ต้องลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอภายใน เดือน ม.ค. 69 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือน นับจากวันที่ออกบัตรส่งเสริม
อย่างไรก็ตามการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนเป็นการเบิกจ่ายหลังจากที่ผู้ประกอบการได้ลงทุนตามเงื่อนไขแล้ว (ผู้ประการได้เงินสนับสนุนหลังจากลงทุนตามเงื่อนไข) บีโอไอจึงร่วมกับสมาคมธนาคารไทย ในการพัฒนาสินเชื่อในรูปแบบ Bridging Loan (เงินกู้ระยะสั้น) และกำหนดอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากสถาบันการเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการระหว่างรอการเบิกจ่ายด้วย
เพิ่มทักษะขั้นสูงคนไทยป้อนอุตสาหกรรมใหม่
มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ โดยกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จะสนับสนุนเงินให้กับมหาวิทยาลัยหรือสถาบันฝึกอบรมที่จะเป็นหน่วยงานแม่ข่าย (Node) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรมและยกระดับทักษะของกำลังคนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ขึ้นไป เพื่อให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายพัฒนาบุคลากร 100,000 คน แบ่งเป็น
- นักศึกษาที่เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน 30,000 คน แ
- บุคลากรในตลาดแรงงานที่ต้องการยกระดับหรือปรับเปลี่ยนทักษะ (Upskill & Reskill) 70,000 คน
รูปแบบการฝึกอบรมครอบคลุมทั้งแบบ Bootcamp, Onsite & Online Training รวมทั้งการฝึกปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ โดยหลักสูตรจะต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือองค์ความรู้ขั้นสูงที่จะช่วยยกระดับ ขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศ และต้องได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยเงินสนับสนุนจะครอบคลุมค่าฝึกอบรม ค่าเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยงระหว่างฝึกงาน และค่าตอบแทนผู้ดูแล การฝึกงาน
ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอภายในเดือน ม.ค. 69 และดำเนินการฝึกอบรมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน นับจากวันออกบัตรส่งเสริม
ให้เวลาธุรกิจปรับตัว 1 ปี
กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อยู่ภายใต้กฎหมาย พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ ระบุว่า นับตั้งแต่มีการก่อตั้งกองทุนฯ ในปี 60 ได้รับเงินสนับสนุนเข้ากองทุนฯ ประมาณ 10,000 ล้านบาท และจนถึงปัจจุบันมีเงินสะสมอยู่ที่ 41,000 ล้านบาท โดยให้เงินส่งเสริมไปแล้วกว่า 20 โครงการ ทั้งหมดเป็นโครงการดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่จากต่างประเทศมาลงทุนในไทย แต่ค่าใช้จ่ายเป็นความลับตามกฎหมาย เนื่องจากการเจรจาให้สิทธิประโยชน์จะพิจารณาตามมูลค่าของแต่ละโครงการ ดังนั้นจึงได้ไม่ได้เท่ากัน
ขณะที่สองมาตรการใหม่ล่าสุดนี้ จะเป็นการสนับสนุนพัฒนาทักษะคนไทยให้ตรงต้องการของอุตสาหกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมเดิมในประเทศ
“เรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพ เราให้เวลา 1 ปี หลังออกบัตร เพราะต้องมีเวลาเตรียมการ แต่ละบริษัทกว่าจะวางแผนปรับปรุงโรงงาน ต้องสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ กว่าจะได้มา ต้องมีเวลา เท่าที่เราคุยกับภาคอุตสาหกรรม 1 ปีเป็นเวลาที่เพียงพอ ทั้ง 2 มาตรการนี้ก็จะเห็นผลที่เกิดขึ้นจริงภายในปีหน้า” เลขาธิการบีโอไอ กล่าว
บทความที่เกี่ยวข้อง:




