ในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค. 57 ได้มีคำสั่งทางกฎหมายทั้งหมด 556 ฉบับ โดยแบ่งเป็นประกาศและคำสั่ง คสช. รวม 345 ฉบับ และคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 อีก 211 ฉบับ ซึ่งคำสั่งหลายฉบับอาจจะไม่เหมาะสมกับการบังคับในสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่ผ่านมาพรรคการเมืองทั้งค้านและฝ่ายรัฐบาล เห็นว่าคำสั่งทั้งหมดควรจะนำมาพิจารณาถึงความเหมาะสมและความจำเป็นในการบังคับใช้ในปัจจุบัน จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช) และคำสั่งหัวหน้า คสช.บางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ…
ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร และอยู่ในการพิจารณาวาระ 2 ซึ่งเป็นการพิจารณากฎหมายรายมาตรา โดยเมื่อ 23 ก.ค.68 สภาผู้แทนราษฏร ได้พิจารณาพระราชบัญญัติในมาตรา 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท
สภาผู้แทนราษฏรได้มีมติให้การยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 โดยให้ผลทันทีที่ประกาศลงราชกิจจาฯโดยไม่ต้องรอ 2 ปี เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวส่งผลทำให้มีโรงงานรีไซเคิลและกิจการพลังงานได้ยกเว้นผังเมืองเกิดขึ้นจำนวนมาก
สาระสำคัญของคำสั่ง คสช.ที่4/2559
สาระสำคัญของคำสั่ง คสช.ที่ 4/ 2559 ออกโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท
วัตถุประสงค์ของคำสั่งฉบับนี้ เพื่อระงับและแก้ไขข้อขัดข้องทางกฎหมายบางประการที่เป็นอุปสรรคต่อความพยายามของรัฐในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเรื่องความมั่นคงในการจัดหาพลังงานของประเทศไทย และปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการจัดการปัญหาขยะล้นเมือง
และเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงจำเป็นต้องอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ออกคำสั่งฉบับนี้
คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 4/2559
ยกเว้น “ผังเมืองรวม”เปิดทางโรงไฟฟ้าขยะ
เนื้อหาสำคัญของคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 ซึ่งมีทั้งหมด 2 ข้อดังนี้
ข้อ 1. ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎกระทรวงฯผังเมืองรวม ทุกฉบับในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ที่มีผลใช้บังคับทางกฎหมายอยู่ ณ วันที่ 20 มกราคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งฉบับนี้ หรือที่จะประกาศและมีผลใช้บังคับภายในหนึ่งปีนับจากวันที่มีคำสั่งฉบับนี้ (ระหว่างวันที่ 21 มกราคม 2559 – 20 มกราคม 2560) สำหรับการอนุมัติอนุญาตให้ประกอบกิจการดังต่อไปนี้
(1) คลังน้ำมันตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง
(2) กิจการโรงงานลำดับที่ 88: โรงงานผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (โรงไฟฟ้าและสถานีส่งไฟฟ้า)
(3) กิจการที่เป็นส่วนหนึ่งของการผลิต ขนส่ง และระบบจำหน่ายพลังงานของกิจการตาม (1) และ (2)(เช่น ท่อส่งน้ำมัน สายส่งไฟฟ้า)
ทั้งนี้กิจการตามทั้งใน (1) (2) และ (3) เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาพลังงานดังนี้
- แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2558-2579 (PDP 2015)
- แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ.2558-2579
- แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2558-2579
- แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ.2558-2579 และรวมถึงการแก้ไขเพิ่มเติมปรับปรุงแผนซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในภายหลังด้วย
(4) กิจการโรงงานลำดับที่ 89 หมายถึง โรงผลิตก๊าซซึ่งมิใช่ก๊าซธรรมชาติ เช่น โรงงานผลิตก๊าซชีวภาพ
(5) กิจการโรงงานลำดับที่ 101 หมายถึง โรงงานปรับปรุงคุณภาพของเสียรวม เช่น โรงบำบัดน้ำเสีย เตาเผาขยะ
(6) กิจการโรงงานลำดับที่ 105 หมายถึง โรงงานคัดแยกและฝังกลบสิ่งปฏิกูล วัสดุที่ไม่ใช้แล้ว เช่น หลุมฝังกลบขยะ
(7) กิจการโรงงานลำดับที่ 106 หมายถึง โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้ว หรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม หรือ โรงงานรีไซเคิล
(8) กิจการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการกำจัดมูลฝอย
ลดข้อจำกัด เปิด“ทุกพื้นที่”สร้างโรงงานรีไซเคิล
ข้อ 2. ซึ่งมีผลใช้บังคับทันทีตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2559 เป็นต้น ซึ่งผลบังคับใช้ดังกล่าวทำให้ โดยลดข้อจำกัดทางกฎหมายเรื่องพื้นที่ตั้งโรงงานหรือกิจการที่เกี่ยวข้องการผลิตพลังงานและการจัดการขยะของเสียสิ่งปฏิกูล ซึ่งเดิมมีหลักเกณฑ์ข้อห้ามตามกฎกระทรวงฯผังเมืองรวมที่บังคับใช้อยู่ในพื้นที่อำเภอหรือจังหวัดนั้นๆ ทำให้หน่วยงานรัฐไม่สามารถอนุมัติอนุญาตให้ประกอบกิจการตาม(1)-(8) ในพื้นที่ที่ต้องการได้ เช่น พื้นที่เขตอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมที่มีข้อกำหนดห้ามสร้างโรงไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนี้คำสั่งฉบับนี้ทำให้หน่วยงานรัฐสามารถอนุมัติอนุญาตการประกอบกิจการตาม (1)-(8) ได้โดยไม่ต้องพิจารณาข้อห้ามตามกฎหมายผังเมือง ซึ่งเป็นมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่ที่สำคัญอีกต่อไป
ผลคำสั่งคสช.เกิดโรงงานรีไซเคิลในชุมชน
ผลกระทบจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 ทำให้หลายชุมชนมีโรงไฟฟ้า และโรงงานคัดแยกฝังกลบหรือรีไซเคิลขยะบางประเภทมาตั้งกลางชุมชน
“สุภาภรณ์ มาลัยลอย” ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม ( EnLAW ) ระบุ ถือเป็นข่าวดี ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกือบทั้งหมด เห็นชอบร่วมกัน “ให้การยกเลิกคําสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 4/2559 และมีผลทันทีเมื่อพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ คสช.-คำสั่ง หัวหน้า คสช.ฯ มีผลบังคับใช้
เนื่องจากที่ผ่านมาคำสั่งดังกล่าวทำให้หน่วยงานรัฐสามารถอนุญาตให้ตั้งโรงไฟฟ้าและโรงงานคัดแยกฝังกลบหรือรีไซเคิลขยะบางประเภทได้ โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องพิจารณาข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายผังเมือง ส่งผลให้นับตั้งแต่ปี 2559 มีโรงไฟฟ้าและโรงงานขยะเกิดขึ้นใหม่ในหลายพื้นที่
ชุมชนในหลายพื้นที่ต้องลุกขึ้นมาใช้สิทธิในการตรวจสอบ ทำข้อมูลผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นและใช้สิทธิคัดค้านโครงการต่างๆ รวมถึงหลายพื้นที่ที่อนุญาตให้เกิดโครงการแล้วก่อให้เกิดผลกระทบก็ต้องลุกขึ้นมาใช้สิทธิในการร้องเรียนหรือฟ้องร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้หลายพื้นที่เกิดการปนเปื้อนผลกระทบในสิ่งแวดล้อมโดยที่ไม่สามารถแก้ไขเยียวยาความเสียหายให้แก่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่ง ณ วันนี้ทั้งประเทศมีโรงงานคัดแยกฝังกลบหรือรีไซเคิลขยะ กิจการบำบัดน้ำเสีย และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ทั้งหมดที่ได้ใบอนุญาตก่อนคำสั่งนี้และหลังมีคำสั่งนี้ รวมทั้งสิ้นมีจำนวนถึง 3,556 แห่งตามฐานข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ไม่รวมที่ทำโดยผิดกฎหมาย
แม้ว่าเดิมพื้นที่นั้นอาจถูกกำหนดไว้ตามผังเมืองรวมให้เป็นพื้นที่สีเขียว เขตเกษตรกรรม หรือเขตชุมชนที่มีข้อกำหนดห้ามตั้งโรงไฟฟ้าและโรงงานขยะ แต่การออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 เพื่อยกเว้นกฎหมายผังเมืองดังกล่าว เป็นการลดทอนมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่ที่สำคัญและทำลายหลักประกันสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
คำสั่งละเมิดสิทธิชุมชนดูแลสิ่งแวดล้อม
ที่ผ่านมาเครือข่ายภาคประชาชนได้พยายามสะท้อนปัญหาและเรียกร้องให้มีการยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับนี้มาโดยตลอด โดยหนึ่งในความพยายาม คือการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดของเครือข่ายภาคประชาชน 8 จังหวัดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2559 เพื่อให้ศาลตรวจสอบความไม่ชอบด้วยกฎหมายและพิพากษาเพิกถอนคำสั่ง
แต่ศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าวมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยให้เหตุผลว่าการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ดังกล่าว อาศัยอำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 44 ที่บัญญัติให้ถือว่าการใช้อำนาจชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด ศาลปกครองสูงสุดจึงไม่อาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวได้
สุภาภรณ์ ยังบอกอีกว่า ข้อเท็จจริงในปัจจุบัน พบว่ามีการตั้งโรงงานหรือกิจการที่เกี่ยวข้องการผลิตพลังงาน และการจัดการขยะของเสียสิ่งปฏิกูลต่างๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลายกรณีเป็นกิจการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ไม่เหมาะสม
และไม่ได้มีมาตรการป้องกันผลกระทบที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ วิถีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ที่ดีเพียงพอ ก่อให้เกิดมลพิษปนเปื้อนลงสู่สิ่งแวดล้อมและกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในหลายพื้นที่ อันเป็นผลเกี่ยวเนื่องโดยตรงจากการมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง