ThaiPBS Logo

หมอลาออก: แก้อย่างไร “ผลิตเพิ่ม หรือ จูงใจให้อยู่ต่อ”

24 เม.ย. 256814:49 น.
หมอลาออก: แก้อย่างไร “ผลิตเพิ่ม หรือ จูงใจให้อยู่ต่อ”
  • แพทย์ในระบบสาธารณสุข ลาออกนับพันคนต่อปี เพราะภาระงานหนัก ค่าตอบแทนต่ำ และขาดการสนับสนุนที่เพียงพอ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลและชนบท
  • กระทรวงสาธารณสุข แผนผลิตแพทย์เพิ่มทุกปี เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนในระยะยาว แต่ไม่มีระบบการกระจายแพทย์ไม่ทั่วถึง ขณะที่ ทางออกระยะสั้น คลอด 7 มาตรการพื้นที่พิเศษสำหรับแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่เฉพาะ เช่น แม่ฮ่องสอน ตาก และบึงกาฬ
  • การผลักดันการปรับฐานเงินเดือนและการบรรจุข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุข ตาม ร่าง พ.ร.บ. ก.สธ. เพื่อแก้ปัญหาความไม่สมดุลในระบบสาธารณสุข ยังไม่เข้าครม. และ มีหน่วยงานไม่เห็นด้วย
  • หากไม่มีการปฏิรูปที่ชัดเจน ปัญหาขาดแคลนแพทย์อาจลุกลามและกระทบต่อระบบสาธารณสุขวงกว้าง
หมอลาออกนับพันคนต่อปี สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบสาธารณสุขไทย "ภาระงานล้นมือ - ขาดแรงจูงใจ -กระจายแพทย์ไม่ทั่วถึง" ขณะที่แนวทางแก้ไขของรัฐยังเน้นแต่การผลิตแพทย์เพิ่ม โดยไม่ตอบโจทย์การรักษาแพทย์ให้อยู่ในระบบ

ระบบสาธารณสุขไทยกำลังส่งเสียงเตือนภัยอย่างหนักหน่วง เมื่อปรากฏการณ์ “แพทย์ลาออกเป็นขบวน” กลับมาเขย่าวงการอีกครั้ง จากกรณีโรงพยาบาลบึงกาฬเผชิญสถานการณ์สุดวิกฤต เมื่อแพทย์เพิ่มพูนทักษะ (อินเทิร์น) ปี 1 ถึง 10 คน จากทั้งหมด 16 คน ประกาศลาออกพร้อมกัน

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแพทย์จบใหม่เท่านั้น แม้แต่แพทย์อาวุโสและอาจารย์แพทย์ผู้มีประสบการณ์ก็กำลังทยอยเดินออกจากระบบเช่นกัน สะท้อนให้เห็นรอยร้าวลึกในโครงสร้างสาธารณสุขของประเทศ

แม้หลายคนจะอ้างเหตุผลว่าต้องการกลับไปทำงานในภูมิลำเนา แต่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งใหญ่นี้คือความท้อแท้จากภาระงานมหาศาล ค่าตอบแทนที่ไม่สมดุลกับความรับผิดชอบ และระบบสนับสนุนที่ไม่เพียงพอ

น่าวิตกยิ่งกว่าคือ วิกฤตนี้กำลังลุกลามไปทั่วประเทศ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขหลายแห่งกำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกัน ส่งผลให้การให้บริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล เริ่มสั่นคลอนอย่างน่าเป็นห่วง

หากไม่มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ เสียงกระซิบที่ว่า “ระบบสาธารณสุขไทยกำลังจะล่มสลาย” อาจกลายเป็นความจริงที่ทุกคนต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้​​​​​​​​​​​​​​​​ Thai PBS  Policy Watch ชวนดูข้อมูลล่าสุดค้นหาต้นตอของปัญหา พร้อมหาทางออกว่า นอกจากการผลิตแพทย์เพิ่ม แล้วเราจะรักษาแพทย์ให้อยู่ในระบบต่อไปได้อย่างไร

จากข้อมูลล่าสุดของแพทยสภา ณ วันที่ 31 ธ.ค. ปี 2567 ประเทศไทยมีแพทย์รวมทั้งสิ้น 62,418 คน (นับเฉพาะผู้ที่ยังไม่เกษียณอายุราชการ) หรือคิดเป็นอัตราส่วนแพทย์ 1 คน ต่อประชากร 922 คน ซึ่งแม้จะดูเหมือนเป็นจำนวนที่เพียงพอ แต่เมื่อพิจารณาเชิงลึกจะพบถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

หากแบ่งแพทย์ตามสังกัด พบว่า แพทย์เกือบครึ่งหนึ่ง หรือราว 43.26% ทำงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (ประมาณ 27,000 คน) ขณะที่อีก 28.07% หรือราว 17,518 คน อยู่ในภาคเอกชน และที่เหลือกระจายอยู่ในสังกัดอื่น ๆ เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (19.23%), กระทรวงกลาโหม (4.49%) และทุนอิสระหรือภาครัฐอื่น ๆ อีกเล็กน้อย

สิ่งที่น่าสนใจคือ ภาคเอกชนซึ่งมีแพทย์เพียง 28% ของทั้งประเทศ กลับสามารถดึงดูดแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีรายได้เริ่มต้นสูงถึง 70,000 – 150,000 บาทต่อเดือน ขณะที่แพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้รับเงินเดือนเริ่มต้นเพียง 40,000 – 60,000 บาทเท่านั้น ซึ่งความแตกต่างด้านค่าตอบแทนนี้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้แพทย์จำนวนไม่น้อยตัดสินใจลาออกจากระบบราชการไปอยู่กับโรงพยาบาลเอกชน ขณะที่ก็มีแพทย์โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขบางส่วนที่รับงานโรงพยาบาลเอกชนนอกเวลาราชการแบบพาร์ตไทม์ซ้อนกันอยู่

แต่หากอิงตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ที่เสนอต่อกรรมาธิการสาธารณสุข (กมธ.สธ.) สภาผู้แทนราษฎร สัดส่วนแพทย์จำแนกตามสังกัดจะสวนทางกับข้อมูลของแพทยสภา เนื่องจากพบว่าแพทย์ส่วนใหญ่ถึง 42.3% ทำงานอยู่ในภาคเอกชน รวมถึงคลินิกส่วนตัวหรือหน่วยบริการอื่น ๆ ขณะที่แพทย์ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมีอยู่ 35.5% รองลงมาคือแพทย์ในหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ 11.2% และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษาฯ อีก 11%

พลอากาศเอกนายแพทย์อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา บอกว่าข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขอาจจะแตกต่างกันมีฐานข้อมูลคนละแบบ เนื่องจากไม่ได้มีการหักตัวเลขของแพทย์ที่เกษียณอายุราชการไปแล้วและไม่ได้ทำการตรวจคนไข้ภาครัฐออกไป ในขณะเดียวกันการจะวัดสัดส่วนของแพทย์รัฐกับเอกชนก็ค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากทำงานซ้อนทับกัน อยู่อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า มีแพทย์รัฐบางส่วนที่ทำงานพาร์ทไทม์ในโรงพยาบาลเอกชน

อย่างไรก็ตามโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยบริการหลักที่ดูแลประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศ รับรองนโยบาย 30 บาทรักษาโรค กลับยังต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนบุคลากร ทั้งจากอัตราเงินเดือนที่ต่ำกว่า ภาระงานที่หนัก และความกดดันจากการทำงานในพื้นที่ขาดโอกาส อาจนำไปสู่ปัญหาเรื้อรังเรื่องการกระจายแพทย์ไม่ทั่วถึง

สัดส่วนจำนวนประชากรต่อแพทย์ 1 คน เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่น ๆ ทั้งในกลุ่ม OECD และเอเชีย ทำให้เห็นว่าประเทศไทยยังมี “ภาระงานของแพทย์” สูงกว่าหลายประเทศอย่างชัดเจน

จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า ประเทศที่อยู่ในกลุ่มพัฒนาแล้ว เช่น ออสเตรีย เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และนิวซีแลนด์ มีจำนวนประชากรต่อแพทย์ 1 คนอยู่ที่ราว 180-280 คน ขณะที่ประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย ก็มีสัดส่วนที่ต่ำกว่าประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด โดยญี่ปุ่นมีประชากรต่อแพทย์เพียง 383.1 คน ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 922.3 คนต่อแพทย์ 1 คน ยกเว้นประเทศเวียดนามที่สัดส่วนประชากรต่อแพทย์สูงถึง 1,204.8 คน

แพทย์สธ.ลาออก

วิกฤตแพทย์ลาออกปีละพันคน

เมื่อเชื่อมโยงกับข้อมูลก่อนหน้าเกี่ยวกับการกระจายตัวของแพทย์ตามสังกัด ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่ “จำนวนแพทย์โดยรวม” เพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่ “ระบบ” ที่ไม่สามารถดึงดูดให้แพทย์อยู่ในระบบรัฐ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลระดับจังหวัดได้

หนึ่งในปัญหาหนักของระบบสาธารณสุขไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คืออัตราการลาออกของแพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยปีละกว่า 1,000 คน ตัวเลขนี้สะท้อนภาพลึกถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่สามารถ “รักษาแพทย์” ไว้ในระบบได้ ไม่ว่าจะแพทย์จบใหม่หรือแพทย์เฉพาะทางระดับสูง

เมื่อพิจารณาเชิงลึกสามารถแบ่งปัญหาออกได้เป็น 3 ช่วงชีวิตของแพทย์ หรือ ”หมอ 3 ยุค“ ที่สะท้อนปัญหาและแรงกดดันในแต่ละระดับอาชีพอย่างชัดเจน

ยุคที่ 1: หมอจบใหม่ (Intern ปี 1–3)

ต้องยอมรับว่า การที่หมอจบใหม่ ลาออกก่อนใช้ทุนหมด ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขอย่างมาก ซึ่งหลักสูตรผลิตแพทย์ เขียนล็อคไว้ ให้แพทย์จบใหม่ต้องใช้ทุน 3 ปี เป็นกำลังหลักในการดูแลผู้ป่วยนอกโรคทั่วไป และผู้ในห้องฉุกเฉิน รวมถึงการอยู่เวรเพื่อดูแลคนไข้นอกเวลาราชการ ตามโรงพยาบาลชุมชน ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นระเบียบมาตรการเพื่อแก้ปัญหาหมอขาดแคลนมาอย่างยาวนาน

หมอจบใหม่ในระบบราชการ จึงต้องเผชิญกับภาระงานที่หนักเกินขีดจำกัด และไม่ใช่เรื่องแปลกที่หมอคนหนึ่ง ต้องดูแลผู้ป่วยหลายสิบคนต่อวัน และเข้าเวรต่อเนื่องโดยไม่มีเวลาพักเพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้นยังขาดระบบพี่เลี้ยงหรือทีมสนับสนุนที่เพียงพอ ทำให้เกิดภาวะ burn-out ได้ง่าย

ระบบโอนย้ายก็ไม่ยืดหยุ่น ทำให้หลายคนรู้สึก “ติดกับ” โดยเฉพาะหากถูกส่งไปในพื้นที่ห่างไกลโดยไม่สามารถเลือกได้

งานวิจัยของ สวรส. (2563) พบว่า 1 ใน 4 ของหมออินเทิร์นเคยคิดลาออกในปีแรกที่ปฏิบัติงาน ขณะที่การศึกษาใน Journal of Health Systems Research ปี 2564 ก็ชี้ชัดว่าปัจจัยสำคัญคือภาระงานที่เกินตัว และขาดพี่เลี้ยงทางวิชาชีพ

ยุคที่ 2: หมอเฉพาะทาง (Specialty)

เมื่อหมอกลุ่มนี้ผ่านช่วงฝึกงานและเข้าสู่ระบบอย่างเต็มตัว หลายคนเลือกศึกษาต่อเฉพาะทาง เช่น อายุรกรรม ศัลยกรรม หรือสูติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม แทนที่ระบบจะรักษาบุคลากรเหล่านี้ไว้ได้ กลับกลายเป็นว่า แรงจูงใจภายในระบบราชการต่ำกว่าภาคเอกชนอย่างมาก

รายได้ในระบบราชการมักต่ำกว่าเอกชนถึง 3–5 เท่า ขณะที่ภาระงานในโรงพยาบาลรัฐโดยเฉพาะโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลจังหวัด กลับหนักกว่า ต้องดูแลผู้ป่วย ควบคู่กับการสอนแพทย์ฝึกหัด และทำงานบริหาร

เพียงปีเดียว หมอเฉพาะทางลาออกจากระบบกว่า 800 คน โดย 60% ไปทำงานเอกชน รายงานของ สวรส. ปี 2565 ยังชี้ให้เห็นว่าไม่มี Career Path หรือเส้นทางความก้าวหน้าในระบบราชการ ทำให้หมอหลายคนหมดความหวัง

ยุคที่ 3: หมอเฉพาะทางระดับสูง (Subspecialty และสาขาขาดแคลน)

แม้จะเป็นกลุ่มที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางสูง แต่หมอ subspecialty หรือหมอสาขาขาดแคลนก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคในระบบราชการไทย

หลายคนต้องทำงานในโรงพยาบาลที่ไม่มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์รองรับ เช่น MRI หรือ Cath Lab ทั้งที่ความสามารถของหมอพร้อมแล้ว แต่กลับไม่มีระบบสนับสนุนให้สามารถรักษาผู้ป่วยได้เต็มศักยภาพ

อีกทั้งระบบราชการยังไม่เปิดโอกาสให้หมอทำวิจัยหรือพัฒนาองค์ความรู้ต่อไป ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนที่สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญที่ใช้เวลาเรียนรู้หลายปี ต่างจากภาคเอกชนที่ยินดีจ่ายแพงเพื่อดึงบุคลากรกลุ่มนี้ไป

Journal of HRH Research ปี 2565 ระบุว่า Subspecialist ส่วนใหญ่ขาดโอกาสในการพัฒนา และไม่มีเครื่องมือในการทำงานในภูมิภาค

ผลิตแพทย์เพิ่มแก้ปัญหาขาดแคลน

หนึ่งในทางออกระยะยาวแก้ปัญหาหมอลาออก ขาดแคลน ที่กระทรวงสาธารณสุขวางแผนเอาไว้คือการ “ผลิตแพทย์เพิ่ม” ขณะนี้ประเทศไทยมีศักยภาพการผลิตแพทย์ตามมาตรฐานของแพทยสภา โดยมีจำนวนแพทย์ที่ผ่านการรับรองจากสถาบันรับรองมาตรฐานแพทยศาสตรศึกษา (Institute for Medical Education Accreditation: IMEAC) ตามเกณฑ์ของ World Federation for Medical Education รวมทั้งสิ้น 3,465 คน จาก 28 คณะแพทยศาสตร์

นอกจากคณะแพทยศาสตร์หลักสูตร 6 ปี ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 50 แห่ง ทำหน้าที่เป็นศูนย์แพทยศาสตร์คลินิก ซึ่งในอนาคตสามารถขยายการรองรับการผลิตแพทย์เพิ่มได้อีกกว่า 20 แห่ง

ข้อมูลจากแพทยสภาและกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในช่วงปี 2567–2589 ประเทศไทยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนแพทย์ต่อประชากรให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าให้ได้อัตราแพทย์ 1 คน ต่อประชากร 650 คนภายในปี 2575 ซึ่งถือเป็นอัตราที่เหมาะสมตามมาตรฐานระดับสากล เทียบกับปัจจุบันที่แพทย์ 1 คน ต้องดูแลประชาชนถึง 922 คน

แผนนี้จะดำเนินการผ่านการเพิ่มกำลังการผลิตแพทย์จากทุกสถาบันทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถผลิตแพทย์ใหม่ได้เฉลี่ยปีละ 3,000 คน และเมื่อรวมกับแพทย์ที่ยังไม่เกษียณอายุ จะทำให้ประเทศไทยมีแพทย์เพิ่มจาก 62,418 คนในปี 2567 เป็น 84,499 คนในปี 2577 และแตะระดับ 100,163 คนภายในปี 2589

แม้แผนนี้จะสะท้อนความตั้งใจของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง แต่การผลิตแพทย์เพิ่มเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากไม่สามารถรักษาแพทย์ไว้ในระบบได้ โดยเฉพาะในระบบราชการที่แพทย์ต้องทำงานหนักแต่ได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าภาคเอกชนมาก อีกทั้งยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสวัสดิการและโอกาสก้าวหน้าในวิชาชีพ

แค่ผลิตแพทย์เพิ่มอย่างเดียวไม่พอ

การผลิตแพทย์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เมื่อมองรอบด้านพบปัญหาการกระจุกตัวของแพทย์ในพื้นที่เมืองใหญ่ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ที่มีจำนวนแพทย์เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ ซึ่งส่งผลให้พื้นที่ต่างจังหวัดประสบปัญหาขาดแคลนแพทย์ในระดับที่รุนแรง

ข้อมูลจากแพทยสภา ปี 2566 สะท้อนภาพปัญหานี้อย่างชัดเจน โดยระบุว่า จากจำนวนแพทย์ที่สามารถติดต่อได้ทั้งหมด 66,685 คน (รวมแพทย์เกษียณ) พบว่าเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 48.28% (ประมาณ 32,198 คน) กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานครเพียงแห่งเดียว

อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรในกรุงเทพฯ จึงอยู่ที่ประมาณ 1 คนต่อประชากร 500–600 คน ซึ่งถือว่าเพียงพอหรืออาจจะเกินความต้องการด้วยซ้ำ ในขณะที่แพทย์อีก 51.72% ของทั้งหมดต้องกระจายไปอยู่ต่างจังหวัด (ประมาณ 34,487 คน) เพื่อดูแลประชากรทั้งประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล เช่น อ.แม่สอด จังหวัดตาก (รวมประชากรแฝง) จ.แม่ฮ่องสอน จ.บึงกาฬ มีอัตราส่วนแพทย์ 1 คน ต่อประชากรมากถึง 5,000–6,000 คน สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงบริการทางสุขภาพอย่างรุนแรง

แล้วรัฐบาลแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์ลาออกอย่างไร? รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการการปฏิรูปกำลังคนและภารกิจด้านสาธารณสุข โดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 417/2567 ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ซึ่งคณะกรรมการนี้มีหน้าที่พิจารณาแนวทางในการปฏิรูปการบริหารงานในระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะการปรับปรุงผลตอบแทนและเงื่อนไขการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงการรับมือกับปัญหาการลาออกของแพทย์

การจัดตั้งคณะกรรมการนี้ มีข้อสังเกตุ จาก พญ. กัลยพัชร รจิตโรจน์ กมธ.สธ. สส.พรรคประชาชน ที่มองว่าขาดตัวแทนจากประชาชนและนักวิชาการในการประชุม และยังเน้นที่การผลิตแพทย์ที่สอดรับนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ มองผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกว่าการจัดการภาระงานของแพทย์ที่มีมากเกินไป ซึ่งอาจยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด

ขณะที่ ร่างพระราชบัญญัติการระเบียบข้าราชการสาธารณสุข หรือ พ.ร.บ. ก.สธ.  ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย เดิมตั้งเป้าหมายที่จะให้กระทรวงสาธารณสุขแยกออกจากการกำกับของ ก.พ. ในปี 2568 โดยหวังว่าร่างกฎหมายนี้จะช่วยในการปรับฐานเงินเดือนและการบรรจุข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุข โดยไม่ต้องอิงกับระบบราชการ

แต่ล่าสุดนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.)บอกว่า การผลักดัน พ.ร.บ. ก.สธ. ยังติดขัดที่ขั้นตอนการกลั่นกรองของคณะกรรมการที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หากผ่านขั้นตอนนี้แล้วจึงจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งในปัจจุบันการดำเนินการยังไม่ได้รับความเห็นจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งทำให้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะสามารถผลักดันให้ พ.ร.บ. ก.สธ. มีผลบังคับใช้ในปี 2568 อย่างที่เคยตั้งเป้าไว้ได้หรือไม่

รมว.สธ. บอกด้วยว่า ไม่มีแผนสำรอง หากไม่สามารถผลักดัน พ.ร.บ. ก.สธ. ได้ เพราะเชื่อว่าการผลักดันในครั้งนี้เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์และการลาออกของบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศไทยระยะยาว

หมอลาออกรัฐบาลแก้อย่างไร

ขณะที่การแถลงข่าวประเด็นการแก้ไขปัญหา “แพทย์ลาออก” และการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในทุกวิชาชีพ เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2568 นายสมศักดิ์ บอกว่าที่ประชุมเห็นตรงกันว่า วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือ การผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ก.สธ. ซึ่งจะช่วยให้กระทรวงสาธารณสุขสามารถบรรจุแต่งตั้ง กำหนดเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการของบุคลากรทั้งหมดได้เองนั้น แต่ก็ยังต้องใช้เวลานานประมาณ 2 ปี

เบื้องต้นจึงมีแนวทางแก้ไขปัญหาระยะสั้น 7 แนวทาง ดังนี้

1) กำหนดให้พื้นที่ที่มีปัญหาแพทย์ลาออกหรือขาดแคลนเป็นพื้นที่พิเศษ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์และลดระยะเวลาชดใช้ทุนก่อนไปศึกษาต่อจากเดิม 3 ปี เหลือ 2 ปี โดยไม่นับเป็นการลา โดยมีคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาและการลาศึกษาฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน ที่มี นพ.ภูวเดช สุระโคตร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ทำหน้าที่พิจารณา ซึ่งที่จะมีการพิจารณาเร็วๆ นี้ คือ บึงกาฬ แม่ฮ่องสอน และตาก

ในประเด็นนี้ เลขาธิการแพทยสภา ชี้แจงเพิ่มเติมว่า มาตรการใหม่นี้ไม่ได้ลดระยะเวลาในการใช้ทุนลง แต่เป็นการเปิดโอกาสให้แพทย์จบใหม่ไปเรียนต่อเฉพาะทางได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องลาออก ทั้งนี้ยังคงต้องกลับมาใช้ทุนให้ครบสามปีตามเดิมภายหลัง

2) เพิ่มแพทย์เพิ่มพูนทักษะทั้งแบบฝึกเองและฝึกร่วม เพื่อให้มีอัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรตามที่กำหนด

3) ขอรับการสนับสนุนแพทย์เฉพาะทางจากพื้นที่ใกล้เคียง

4) เสริมระบบบริการด้วยระบบดิจิทัลสุขภาพและเทเลเมดิซีน รวมถึงปรับแนวทางให้แพทย์เกษียณอายุราชการสามารถทำงานต่อได้

5) กำหนดตำแหน่งข้าราชการรองรับแพทย์ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเอกชนและมหาวิทยาลัยต่างประเทศ กรณีไม่มีแพทย์ในระบบปกติไปบรรจุ ซึ่งขณะนี้ อกพ.สธ.ได้เห็นชอบแล้ว

6) พิจารณาเพิ่มค่าตอบแทนนอกเวลาราชการ ซึ่งกำหนดสูงสุดไม่เกิน 3 เท่า

7) ดูแลด้านสวัสดิการ เช่น บ้านพัก การเดินทาง เป็นต้น

ด้าน พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม (หมอเบียร์) อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก ซึ่งได้ยื่นใบลาออก และจะมีผลในวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ให้สัมภาษณ์ถึง 7 มาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่ชายแดน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ โดยชี้ว่าแม้บางมาตรการมีแนวโน้มดี แต่ยังขาดความชัดเจนในทางปฏิบัติ และควรแยกแผนระยะสั้น-กลาง-ยาวให้ชัดเจน

มาตรการที่เห็นด้วย คือ การนำร่องพื้นที่พิเศษ 3 จังหวัด (บึงกาฬ, แม่ฮ่องสอน, ตาก) ด้วยแพ็กเกจจูงใจ เช่น  ใช้ทุนเพียง 1 ปี   ได้สิทธิ์บรรจุเป็นข้าราชการเร็ว  นับปีราชการคูณสองหรือสาม  เพิ่มค่า OT เป็น 1.5-2 เท่า   ผ่อนปรนเงื่อนไขผลงานวิชาการ

“ถ้าทำได้จริง เด็กจบใหม่หรือแพทย์จากต่างประเทศจะสนใจมากขึ้น”

แต่ จุดอ่อนของมาตรการ คือ

  1. การใช้คำกำกวม เช่น ”อาจจะเพิ่ม“ หรือ ”พิจารณาเพิ่ม“ โดยเฉพาะค่า OT ที่ขึ้นกับเงินบำรุงโรงพยาบาล ซึ่งหลายแห่งขาดทุน
  2. การสนับสนุนแพทย์เฉพาะทางจากพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ชัดเจนว่าจะจัดการค่าตอบแทนและระบบอย่างไร
  3. Telemedicine ไม่ตอบโจทย์ เพราะเพิ่มภาระแพทย์แทนที่จะลด เนื่องจากแพทย์ต้องสละเวลามาตรวจทางหน้าจอ ขณะที่ผู้ป่วยหน้างานยังรับไม่ไหว

พญ.ณัฐกานต์ มีข้อเสนอเพิ่มเติม คือควรเรียกเก็บค่าบริการบางส่วน (Co-payment) ในกรณีผู้ป่วยที่ขาดวินัย เช่น เมาสุรา หรืออุบัติเหตุจากการไม่สวมหมวกนิรภัย เพื่อลดการใช้บริการเกินจำเป็น  และย้ำว่า ปัญหาหลักคือ “การกระจายตัว” ไม่ใช่จำนวนแพทย์รวมทั้งประเทศ แพทย์ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองหรือภาคเอกชน ควรมีมาตรการดึงแพทย์กลับสู่พื้นที่ห่างไกล

ขณะที่ นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชี้ว่าปัญหาขาดแคลนแพทย์เป็นวิกฤตสะสม และเสนอ 13 มาตรการแก้ไขเชิงระบบ ดังนี้

  1. ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ กระทรวงสาธารณสุขต้องมีทีมบริหารที่มีความสามารถ และไม่ถูกชี้นำโดยนโยบายประชานิยม
  2. จำกัดผู้ป่วยตามนัดหมาย เพื่อควบคุมภาระงานแพทย์ โดยแผนกผู้ป่วยนอกรับเฉพาะคนนัดล่วงหน้า ส่วนฉุกเฉินรับเฉพาะกรณีจริง
  3. สื่อต้องสนับสนุนนโยบายจำกัดผู้ป่วย ไม่สร้างกระแสโจมตีบุคลากรการแพทย์โดยไม่ตรวจสอบ
  4. ปรับโครงสร้างโรงพยาบาล ปิดห้องฉุกเฉินหรือรพ.ชุมชนในพื้นที่ที่ซ้ำซ้อนหรือมีผู้ป่วยน้อย
  5. ปรับอัตรากำลังบุคลากร ให้สอดคล้องกับสภาพจริง
  6. ปรับค่าตอบแทน ทั้งเงินเดือนและค่าเวรให้เหมาะสม และจ่ายตรงเวลา
  7. สปสช.ต้องจ่ายค่าบริการที่ยุติธรรม ปัจจุบันจ่ายต่ำกว่าต้นทุน ส่งผลให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง  ส่งผลต่อการจ่ายค่าตอบแทนบุคลากร
  8. ให้แพทย์พักผ่อนหลังเวรดึก อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
  9. ลดงานที่ไม่จำเป็น เช่น งานคุณภาพโรงพยาบาล (HA) ที่แพทย์ต้องรับผิดชอบโดยตรง
  10. คัดเลือกแพทย์จากคนในพื้นที่ เพื่อเพิ่มโอกาสทำงานยาวนาน
  11. ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษา ในกรณีโรคจากพฤติกรรมเสี่ยง
  12. เร่งศึกษาสาเหตุปัญหา โดยรับฟังความเห็นแพทย์รุ่นใหม่
  13. เริ่มแก้ไขทันที โดยไม่ยอมแพ้กับคำว่า “เป็นไปไม่ได้”

ทั้ง พญ.ณัฐกานต์ และ นพ.สมศักดิ์ เห็นตรงกันว่าปัญหาขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่ห่างไกลเกิดจาก “ความล้มเหลวเชิงระบบ” มากกว่าจำนวนบุคลากร มาตรการระยะสั้นเช่น Telemedicine หรือการเพิ่มค่า OT อาจไม่ยั่งยืน หากไม่ปฏิรูประบบใหญ่ ทั้งการกระจายแพทย์ ค่าตอบแทน โครงสร้างโรงพยาบาล และการมีส่วนร่วมของสังคม คำถามสำคัญคือ รัฐพร้อมเดินหน้าปฏิรูปอย่างจริงจัง หรือเพียงตอบสนองกระแสชั่วคราว?

ขณะที่ ข้อเสนอของ รศ.นพ.บวรศม ลีระพันธ์ รองหัวหน้าศูนย์นโยบายและการจัดการสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล เพื่อปัญหาภาระงานแพทย์ในระบบสาธารณสุขไทย ส่วนหนึ่งเห็นว่า ควรกระจายอำนาจการบริหารจัดการบุคลากรสู่หน่วยบริการ ให้โรงพยาบาลมีอำนาจในการบริหารจัดการบุคลากรของตนเองมากขึ้น เช่น การจัดตารางเวร การจ้างงานชั่วคราว หรือการจัดระบบพี่เลี้ยงสำหรับแพทย์ใหม่ เพื่อลดภาระและความเครียดจากระบบราชการรวมศูนย์

ระบบควรกำหนดให้ชัดเจนว่าแพทย์คนใดมีบทบาทด้านใด เช่น งานบริการผู้ป่วย งานสอน หรืองานวิจัย เพื่อให้สามารถจัดสรรเวลาและทรัพยากรให้เหมาะสมกับภารกิจนั้นๆ โดยไม่ต้องแบกรับหลายบทบาทพร้อมกัน และควรยอมรับความหลากหลายของบุคลากรแพทย์ และเปิดโอกาสให้แต่ละคนพัฒนาในแนวทางที่เหมาะสมกับตน เช่น ด้านคลินิก ด้านวิชาการ หรือด้านบริหาร โดยไม่บีบบังคับให้ทุกคนต้องเดินทางสายบริหารเหมือนกันหมด

       อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ระบบหลักประกันสุขภาพ

ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ "30 บาทรักษาทุกโรค" ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ต่อมาเรียกว่า "บัตรทอง" ซึ่งดำเนินการมาครบรอบ 20 ปีเมื่อปี 2566 และกำลังก้าวสู่ปีที่ 23 ในปี 2568 แต่ปัญหายังต้องแก้ไขกันต่อไป โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณและการบริหารจัดการ แม้ว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: