กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กฉบับใหม่ ทดแทนฉบับเดิม หลังประกาศใช้มานานกว่า 20 ปี เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 10 มิ.ย. 68 มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งฉบับที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและปรับปรุงเป็นฉบับใหม่ ตามที่พม.เสนอ
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 2 ต.ค. 46 และมีผลใช้บังคับในอีก 180 วัน คือ 30 มี.ค.47 ใช้แทนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เม.ย. 2515 และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 294 ลงวันที่ 27 พ.ย. 2515 เนื่องจากเป็นกฎหมายที่ใช้มานาน ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
หากร่างพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฉบับใหม่ รัฐบาลสามารถผลักดันออกมาบังคับใช้ได้ ก็จะเป็นกฎหมายใหม่แทนกฎหมายเดิมที่ใช้ยาวนานมากว่า 20 ปี ในขณะที่พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ฉบับปัจจุบัน มีระยะเวลาห่างจากประกาศคณะปฏิวัติทั้ง 2 ฉบับ รวม 53 ปี หรือ กว่าครึ่งศตวรรษ
มีอะไรใหม่ในร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. …. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และสอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดบทบาทให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีหน้าที่และอำนาจในการดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและการคุ้มครองเด็กในชุมชนรวมทั้งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
สาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติขึ้นใหม่
กำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กให้มีความชัดเจน เช่น การมีชีวิตอยู่รอด การได้รับความคุ้มครองจากการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ (เดิมมิได้กำหนดไว้)
กำหนดหน้าที่ของผู้ปกครองและหน่วยงานของรัฐ โดยผู้ปกครองมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็ก ปกป้องคุ้มครองเด็กมิให้ตกในภาวะอันเกิดอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ รวมทั้งต้องให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี (เพิ่มเติมจากเดิมเพื่อกำหนดให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น)
หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่สนับสนุนหน้าที่ของผู้ปกครอง (เดิมมิได้กำหนดไว้) กำหนดให้มีคณะกรรมการแบ่งเป็น 3 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติทำหน้าที่ในการเสนอนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองเด็ก (ปรับปรุงหน้าที่ให้เป็นเชิงบริหารมากยิ่งขึ้น) และคณะกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานครและคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัดทำหน้าที่ในการกำกับดูแลให้ อปท. และหน่วยงานของรัฐในเขตจังหวัด (ปรับปรุงหน้าที่ในการกำกับดูแลการคุ้มครองเด็กให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น)
กำหนดให้มีสมัชชาคุ้มครองเด็กในกรุงเทพมหานครและจังหวัด ทำหน้าที่เสนอความเห็นเกี่ยวกับกลไกและกระบวนการคุ้มครองเด็กเพื่อประกอบการกำหนดนโยบายเสนอผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป (เดิมมิได้กำหนดไว้)
กำหนดหน้าที่และอำนาจของ อปท. ในการคุ้มครองเด็ก เช่น จัดทำแผนและงบประมาณในการคุ้มครองเด็ก จัดให้มีระบบฐานข้อมูลของเด็ก (เดิมมิได้กำหนดไว้)
กำหนดให้มีพนักงานคุ้มครองเด็ก โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน รัฐมนตรีและองค์การบริหารส่วนจังหวัดแต่งตั้งเพื่อทำหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและครอบครัว (เดิมกำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่) เพื่อให้มีแนวปฏิบัติในการทำงาน
กำหนดกระบวนการคุ้มครองเด็ก โดยให้ผู้พบเห็นเด็กอยู่ในภาวะเสี่ยงต้องให้การช่วยเหลือเบื้องต้นและแจ้งต่อพนักงานคุ้มครองเด็ก และให้พนักงานคุ้มครองเด็กสืบเสาะและพินิจแล้วหาวิธีการคุ้มครองเด็กที่เหมาะสม รวมทั้งส่งตัวเด็กไปอาศัยอยู่กับครอบครัวทดแทน
กำหนดอำนาจของศาลในการคุ้มครองเด็ก โดยให้การพิจารณาคดีของเด็กและคู่กรณีไม่ต้องมีการเผชิญหน้ากัน และสอบถามทุกคนที่เกี่ยวข้องเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง รวมทั้งออกคำสั่งหรือกำหนดมาตรการเพื่อประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็ก เพื่อให้ศาลมีแนวปฏิบัติในกระบวนการพิจารณาคดีเด็กและเยาวชนชัดเจน (กำหนดเพิ่มเติม)
กำหนดมาตรการคุ้มครองเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิดต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพ โดยให้จัดทำแผนบำบัดสุขภาพ พัฒนาการและพฤติกรรมของเด็ก และมาตรการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ต้องได้รับน้ำนมจากหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือนและได้รับความคุ้มครองเมื่อมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองมากขึ้น (กำหนดเพิ่มเติม)
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้งสถานรองรับเด็ก โดยอธิบดีมีอำนาจให้การรับรองสถานรองรับเด็กได้ ทั่วราชอาณาจักร และผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจให้การรับรองการจัดตั้งภายในเขตจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (เดิมการจัดตั้งสถานแรกรับทั่วประเทศดังกล่าวเป็นอำนาจของปลัดกระทรวง)
กำหนดหน้าที่ของโรงเรียนและสถานศึกษา โดยต้องจัดให้มีระบบงานในการจำแนกคัดกรองเด็ก นักเรียนและนักศึกษา รวมทั้งให้ความร่วมมือต่อพนักงานคุ้มครองเด็กในการคุ้มครองเด็ก (กำหนดเพิ่มเติม)
กำหนดหน้าที่ของนักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตามระเบียบของโรงเรียนและตามที่กฎหมายกำหนดไว้ (คงเดิม)
กำหนดให้มี “กองทุนส่งเสริมการคุ้มครองเด็ก” ในกรมกิจการเด็กและเยาวชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในการส่งเสริมการคุ้มครองเด็กรวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในกระบวนการคุ้มครองเด็ก ซึ่งเงินและทรัพย์สิน เช่น เงินที่โอนมาจากกองทุนคุ้มครองเด็ก เงินที่รัฐบาลไม่ต้องส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
กระทรวงการคลังได้พิจารณาเห็นชอบในเรื่องไม่นำเงินส่งคลังด้วยแล้ว ตามนัยมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (เดิมกำหนดให้มีกองทุนคุ้มครองเด็กในสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อใช้เป็นทุนใช้จ่ายในการสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กและครอบครัวของเด็ก)
ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เห็นชอบด้วย รวมทั้งได้จัดทำแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม 15 ฉบับ
หลักคุ้มครองสิทธิเด็ก ภายใต้แนวคิดประโยชน์สูงสุดของเด็ก
มาตาลักษณ์ เสรเมธากุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุในงานวิจัย “หลักการคุ้มครองเด็กภายใต้แนวคิดเกี่ยวกับประโยชน์สูงสุดของเด็ก”ว่าการคุ้มครองเด็กในทางกฎหมาย มีจุดเริ่มต้นจากอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.1989 ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายระหว่างประเทศฉบับแรกที่มีผลบังคับให้รัฐภาคีจะต้องปฏิบัติตามในการให้ความคุ้มครองและส่งเสริมเด็กในขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง
ประเทศไทยได้เข้าร่วมและทำการลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. 1989 เมื่อ 12 ก.พ. 1992
อนุสัญญาฯดังกล่าว ได้ยกระดับให้ความคุ้มครองแก่เด็กในฐานะเป็น “สิทธิเด็ดขาด” โดยวางหลักในการกระทำใดที่เกี่ยวข้องกับเด็ก จะต้องพิจารณาประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นพื้นฐานอันดับแรก
สำหรับคำจำกัดความว่า “ประโยชน์สูงสุดของเด็ก” นักนิติศาสตร์ให้คำจำกัดความไว้หลายหลาย แต่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าประโยชน์สูงสุด คือ เด็กต้องมีสิทธิได้รับความคุ้มครองอันจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านร่างกาย จิดใจ อารมณ์ สังคม ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาการของเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
มาตาลักษณ์ ยังเห็นว่าควรหมายรวมถึงการพิจารณาให้กระทำหรืองดเว้นการกระทำใด ๆ จะต้องไม่ขัดต่อหลักพื้นฐานในการคุ้มครองเด็กที่บัญญัติไว้ในอนุสัญญาฯ เว้นแต่จะพิสูจน์ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นประโยชน์แก่เด็กมากกว่า
เนื่องจากอนุสัญญาฯ ไม่ได้กำหนดคำนิยามเอาไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นประเทศไทยจึงได้กำหนดคำนิยามดังกล่าวที่จะนำมาบังคับใช้ในกฎหมายไทยเอาไว้ในกฎกระทรวง กำหนดแนวทางการพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก หรือ เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็ก 17 ข้อ ดังกราฟด้านล่าง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: