“ทุกคนมองเห็นแค่ใบไม้ แต่มองไม่เห็นป่าทั้งป่า”
คือคำอธิบายของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้ร่วมบุกเบิกโครงการ “30 บาทรักษาทุกโรค” ยุครัฐบาลไทยรักไทย ต่อปรากฎการณ์ “ทวงหนี้บัตรทอง” ที่เกิดขึ้นระหว่างโรงพยาบาลและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
“ทุกคนมองแค่ปัญหาจุดจุดเดียว มองไม่เห็นทั้งระบบ” สถานการณ์ที่โรงพยาบาลหลายแห่งออกมาทวงหนี้ สปสช. จะเกิดในช่วงปลายปีงบประมาณ เป็น “ภาพซ้ำ” ทุกปี และยังคงเกิดขึ้นต่อไป หากไม่แก้ที่ “ระบบ”
“ทุกปีเราจะเห็นโรงพยาบาลออกมาพูดเรื่องเงินไม่พอจ่าย เพราะระบบบริการเปิด แต่ระบบงบประมาณเป็นระบบปิด งบถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ปีก่อน พอถึงปลายปีงบประมาณ ก็จะเกิดปัญหาซ้ำ ๆ แบบนี้เสมอ”
นพ.สุรพงษ์มองว่า สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความผิดปกติ แต่เป็นผลจากโครงสร้างที่ยังไม่ปรับให้ทันต่อความจริงทางบริการสุขภาพ
เขาเปรียบว่า “โรงพยาบาลขาดงบ” เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาทั้งหมดในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
“ปัญหาคือข้อมูลไม่ชัด” แก้ได้ด้วยระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่
รากของปัญหาคือ “ข้อมูล” ที่ไม่ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบและไม่โปร่งใสพอจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของแต่ละโรงพยาบาล ทำให้การกำหนดงบประมาณไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
แม้ทุกฝ่ายจะตั้งใจทำงาน แต่สปสช. สำนักงบประมาณ และกระทรวงสาธารณสุข ต่างไม่สามารถประเมินตัวเลขที่แม่นยำได้
“สำนักงบประมาณอยากให้เงิน แต่เขาต้องมีข้อมูลอธิบายว่าทำไมต้องได้เท่านั้นเท่านี้ ถ้าไม่มีข้อมูล เขาก็ให้เกินกว่านั้นไม่ได้”
เขายกตัวอย่างว่าปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างมาก หากใช้ระบบ AI หรือฐานข้อมูลแบบเรียลไทม์ในการคำนวณ “น้ำหนักสัมพัทธ์” (Adjusted Relative Weight – RW) ก็จะรู้ได้ทันทีว่าอัตราค่าชดเชยต่อแต้มควรเป็นเท่าใด ไม่ต้องมานั่งถกกันว่า 8,350 บาท หรือ 13,000 บาท
“ถ้าใช้เทคโนโลยี AI ประมวลข้อมูลจากทั่วประเทศ เราจะรู้ได้ในไม่กี่นาทีว่าค่าชดเชยควรเป็นเท่าไร ไม่ต้องรอคณะทำงานมานั่งคำนวณปีละครั้งเหมือนเดิม”
ข้อมูลกระจัดกระจาย–คนละระบบ
นพ.สุรพงษ์ชี้ว่า ปัจจุบันข้อมูลทางการเงินและต้นทุนของโรงพยาบาลกระจายอยู่ในหลายหน่วยงาน เช่น กรมบัญชีกลาง กระทรวงสาธารณสุข และสปสช. ซึ่งไม่มีระบบเชื่อมโยงถึงกันอย่างแท้จริง ข้อมูลจึงไม่สะท้อนความจริงและไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ
เขาเปรียบเทียบว่า หากต้องการดูงบการเงินของโรงพยาบาลองค์การมหาชนอย่าง “บ้านแพ้ว สมุทรสาคร” สามารถค้นได้ แต่โรงพยาบาลรัฐอื่น ๆ กลับไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ทั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นอยู่กับกรมบัญชีกลาง
“ถ้ามีระบบฐานข้อมูลสุขภาพระดับชาติที่เชื่อมโยงกันได้จริง เราจะรู้ทันทีว่าโรงพยาบาลไหนมีประสิทธิภาพ หรือโรงพยาบาลไหนใช้ทรัพยากรไม่คุ้มค่า จะเห็นเลยว่าโรงพยาบาลบางแห่งมีเงินบำรุงเหลือพันล้าน แต่บางแห่งติดลบพันล้าน ความต่างนี้สะท้อนว่าระบบข้อมูลยังไม่โปร่งใส”
ย้ำ “ข้อมูลชัด = ของบได้”
นพ.สุรพงษ์เสนอว่า หากแต่ละโรงพยาบาลสามารถเก็บและส่งข้อมูลอย่างเป็นระบบให้สปสช. สปสช.ก็จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ยืนยันต่อสำนักงบประมาณได้ชัดเจน
เมื่อมีข้อมูลจริง สำนักงบประมาณก็ไม่สามารถปฏิเสธการจัดสรรงบได้
“ข้อมูลชัดสอดคล้องกับข้อเท็จจริงของต้นทุนการรักษา ทำให้ สปสช.มีเหตุหลและหลักฐานในการเสนอของบประมาณ ผมเชื่อว่า สำนักงบประมาณเห็นเหตุผล ก็ทำให้อนุมัติได้ ปัญหางบไม่พอปลายปีจะหมดไป ”
เขาเชื่อว่าหากประเทศไทยสามารถสร้าง “ระบบฐานข้อมูลสุขภาพแห่งชาติ” ที่ใช้ AI วิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูลทุกระดับ ทั้งโรงพยาบาลรัฐ เอกชน คลินิก และร้านยา จะทำให้ระบบงบประมาณแม่นยำขึ้น ลดปัญหาการขาดทุนหรือการเบิกงบล่าช้าได้อย่างยั่งยืน
ความไม่เป็นธรรมของ “ค่า Adjust RW” สะท้อนต้นทุนจริงไม่ได้
สำหรับข้อร้องเรียนของหน่วยบริการหลายแห่งที่ระบุว่าค่า Adjust RW ไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง นพ. สุรพงษ์อธิบายว่า “Adjust RW” ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แตกต่างกันของแต่ละโรงพยาบาลอยู่แล้ว
แต่เมื่อไม่มีข้อมูลที่ละเอียดเพียงพอ จึงทำให้ตัวเลขที่ใช้เป็น “ค่ากลาง” ไม่สะท้อนต้นทุนจริง
“ในต่างประเทศก็ใช้ระบบ DRG หรือ Adjust RW เหมือนกัน แต่เขามีข้อมูลฐานใหญ่ จึงคำนวณได้ใกล้เคียงความจริงกว่าเรา หากไทยมีระบบข้อมูลสุขภาพแบบเดียวกัน เราจะรู้ทันทีว่าค่า Adjust ของแต่ละโรงพยาบาลควรเป็นเท่าไร ไม่ต้องตั้งค่ากลาง 8,350 บาทเท่ากันทั้งประเทศ”
เขาเสนอว่าควรยกเลิก “ค่า K “ หรือ ค่าถ่วงน้ำหนัก (Weighting Factor) ที่ใช้คำนวณเพื่อจ่ายเงินตามผลงานของหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยค่า K จะแตกต่างกันไปตามบริบทการใช้งาน ซึ่ง ค่า K กำหนดขึ้นเพื่อเป็นตัวบัฟเฟอร์ชดเชยระหว่างเขต แต่หากมีข้อมูลที่ชัดเจนจริง ค่า Adjust RW ก็จะสะท้อนความเป็นธรรมอยู่แล้ว
“ของบกลางคือทางแก้ชั่วคราว” ต้องคิดใหม่ทั้งระบบ
นพ. สุรพงษ์ ยอมรับว่า ปัญหาปัจจุบันที่ สปสช.ต้องปรับลดค่าชดเชยย้อนหลังในช่วงปลายปี เป็นผลจากงบประมาณแบบ “ปลายปิด” ที่ถูกวางล่วงหน้าเกือบหนึ่งปี จึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
เมื่อถึงสิ้นปีงบประมาณ เงินเหลือน้อย ก็จำเป็นต้อง “รีเทิร์นงบ” หรือหักย้อนหลังบางส่วน
“มันไม่ใช่ความไม่เป็นธรรม แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ถ้าจะช่วยเฉพาะหน้า ก็ต้องใช้งบกลาง แต่เราไม่ควรต้องมาของบกลางทุกปี สิ่งที่ต้องทำคือคิดใหม่ทั้งระบบ วางแผนงบประมาณให้แม่นยำตั้งแต่ต้นปี”
“24 ปีแห่ง 30 บาท” ปัญหาเดิมที่เทคโนโลยีสมัยนั้นยังแก้ไม่ได้
การคาดการณ์ปัญหาจากจุดเริ่มต้นโครงการ “30 บาทรักษาทุกโรค” เมื่อกว่า 20 ปีก่อน นพ,สุรพงษ์ ยอมรับว่า ปัญหาความต่างของต้นทุนโรงพยาบาลแต่ละแห่ง เป็นสิ่งที่เห็นตั้งแต่วันแรกที่ออกแบบระบบนี้ แต่ในเวลานั้น “เทคโนโลยียังไม่เอื้อ”มากเท่ากับวันนี้
“เมื่อ 24 ปีก่อน เราไม่มีทางรู้ต้นทุนของแต่ละโรงพยาบาลได้ เพราะระบบข้อมูลและอินเทอร์เน็ตยังจำกัด เราจึงออกแบบให้แต่ละโรงพยาบาลทำหน้าที่เหมือนบริษัทประกันสุขภาพขนาดเล็ก ดูแลประชาชนในพื้นที่ของตัวเอง”
แนวคิดนี้ทำให้ระบบบัตรทองไม่ต้องพึ่ง “สำนักงานใหญ่” ที่เดียวอย่าง สปสช. แต่ให้แต่ละโรงพยาบาลเป็นผู้จัดการงบในพื้นที่ เพื่อความคล่องตัว
“แต่ถ้าวันนี้เรามีเทคโนโลยีมากพอ สปสช.ก็สามารถเป็นบริษัทประกันสุขภาพขนาดใหญ่ของประเทศได้ เชื่อมโยงตั้งแต่โรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยา ไปจนถึงห้องแล็บเอกชน ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้สะดวก และลดความแออัดในโรงพยาบาลได้จริง”
“ปฏิรูปฐานข้อมูลสุขภาพทั้งประเทศ” คือคำตอบ
นพ.สุรพงษ์ ทิ้งท้ายว่า หากประเทศไทยสามารถยกระดับระบบข้อมูลสุขภาพให้เชื่อมโยงกันทั้งประเทศ ไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหางบประมาณปลายปีเท่านั้น แต่ยังจะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพให้เป็นต้นแบบของโลกได้
ถ้าเราทำได้ เราจะเป็นผู้นำด้านระบบหลักประกันสุขภาพของโลก เพราะทุกประเทศที่มีระบบนี้ ต่างเจอปัญหาเดียวกัน ข้อมูลไม่เชื่อมกัน ข้อมูลไม่จริง ถ้าไทยทำได้ก่อน เราจะเป็นประเทศต้นแบบ
“ทุกวันนี้เรายังไม่มีฐานข้อมูลสุขภาพระดับชาติที่สมบูรณ์ ไม่มีระบบกลางที่สามารถประมวลผลข้อมูลการรักษาจากทุกโรงพยาบาลแบบเรียลไทม์ได้จริง ทำให้ไม่มีใครตอบได้ว่าต้นทุนเฉลี่ยของการรักษาแต่ละ DRG คือเท่าไร” นพ.สุรพงษ์ กล่าว
งบปลายปิด = ปัญหาซ้ำทุกปี
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัญหาที่โรงพยาบาลหลายแห่งได้รับเงินไม่ครบ หรือต้องถูก “รีเทิร์นงบ” กลับไปในช่วงปลายปี เป็นผลจากระบบ “งบประมาณปลายปิด” ซึ่งตั้งงบล่วงหน้ากว่าหนึ่งปี ทำให้เมื่อสิ้นปีงบประมาณ ตัวเลขรายจ่ายจริงไม่สอดคล้องกับงบที่ตั้งไว้
“ปีนี้จ่าย 8,350 บาทต่อแต้ม DRG แต่ปลายปีพบว่าเงินไม่พอ ก็ต้องลดลง และบางครั้งยังมีการปรับย้อนหลังอีก 10 เดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่หน่วยบริการรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม แต่ทั้งหมดนี้คือผลของระบบงบปลายปิด ไม่ใช่ความตั้งใจของใคร”
นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า หากต้องการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ต้อง “คิดใหม่ทั้งระบบ” โดยเฉพาะการวางแผนงบประมาณที่ต้องอิงข้อมูลจริง ไม่ใช่การคาดการณ์
“เราต้องไม่แก้ปัญหาปีต่อปีด้วยงบกลาง แต่ต้องปฏิรูประบบฐานข้อมูลสุขภาพทั้งหมด เพื่อให้การตั้งงบปีต่อไปแม่นยำและเป็นธรรมมากขึ้น”
“ไม่มีใครมีข้อมูลจริง” – ต้องสร้างระบบข้อมูลสุขภาพแห่งชาติ
สาเหตุที่ข้อมูลของแต่ละโรงพยาบาลไม่ตรงกัน เพราะ ที่ผ่านมา ประเทศไทย “ไม่เคยมีการรวบรวมข้อมูลต้นทุนการรักษาอย่างเป็นระบบ” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อจำกัดทางเทคโนโลยีเมื่อ 20 กว่าปีก่อน
“ตอนเริ่มนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เราไม่มีทางรู้ต้นทุนของแต่ละโรงพยาบาลได้จริง ระบบอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยียังไม่พร้อม เราจึงต้องออกแบบให้โรงพยาบาลทำหน้าที่เหมือนบริษัทประกันสุขภาพรายย่อย ดูแลประชาชนในพื้นที่ตัวเองแทน”
หากวันนี้ประเทศไทยมีระบบข้อมูลสุขภาพกลางที่เชื่อมโยงได้ทุกหน่วย เช่น ใช้ AI ประมวลข้อมูลต้นทุนจากทุกโรงพยาบาล ระบบจะสามารถคำนวณ “ค่า Adjust RW” ของแต่ละแห่งได้อัตโนมัติ และอาจไม่ต้องใช้ “ค่ากลาง” แบบ 8,350 บาทต่อแต้มอีกต่อไป
“ระบบเทคโนโลยีปัจจุบันทำได้หมดแล้ว เพียงแต่ทุกหน่วยยังมีอาณาจักรของตัวเอง ไม่ยอมเชื่อมข้อมูลกัน ถ้าเราฝ่ากำแพงนี้ได้ จะเป็นการปฏิรูปใหญ่ของระบบสุขภาพไทย”
ย้ำต้องให้โรงพยาบาลเดินต่อได้ แต่แก้โครงสร้างระยะยาว
นพ.สุรพงษ์ ยอมรับว่า ในระหว่างรอการปฏิรูประบบข้อมูล หากโรงพยาบาลประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง “รัฐบาลจำเป็นต้องใช้งบกลางช่วยเหลือเฉพาะหน้า” เพื่อให้ประชาชนยังเข้าถึงบริการได้ แต่ในระยะยาวต้องไม่ปล่อยให้ปัญหานี้เกิดซ้ำ
“ไม่ใช่ว่าพอไม่รู้ต้นทุนจริง ก็ปล่อยให้โรงพยาบาลขาดทุนไปเรื่อย ๆ ถ้าเกิดปัญหาเรื่องเงิน รัฐต้องช่วย แต่ต้องช่วยแบบมีแผน ไม่ใช่ซ้ำทุกปี”
โรงพยาบาลต้องเพิ่มประสิทธิภาพบริหาร ไม่ใช่ใช้เงินไม่จำกัด
อีกมุมหนึ่ง นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ปัญหาที่เห็นต่างกันระหว่างโรงพยาบาล เช่น บางแห่งมีกำไรสะสมระดับพันล้าน ขณะที่บางแห่งขาดทุนหนัก อาจสะท้อนถึง “ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพการบริหารจัดการ” ไม่ได้หมายความว่าระบบงบประมาณผิดทั้งหมด
“ไม่ใช่ทุกโรงพยาบาลบริหารได้เหมือนกัน บางแห่งควบคุมต้นทุนได้ดี ใช้ยาและอุปกรณ์อย่างเหมาะสม บางแห่งอาจมีค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น หรือใช้เทคโนโลยีแพงโดยไม่จำเป็น ต้องมองทั้งสองด้าน ไม่ใช่เพิ่มงบอย่างเดียว”
เขากล่าวด้วยว่า รัฐควรส่งเสริมการใช้ “อุปกรณ์ทางการแพทย์ผลิตในประเทศ” ที่คุณภาพดีและราคาถูกกว่า เพื่อช่วยลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพการรักษา
“ไม่มีใครรู้ต้นทุนจริง” คือปัญหาหลักของระบบ
นพ.สุรพงษ์ สรุปชัดว่า ปัญหาที่แท้จริงของระบบหลักประกันสุขภาพในวันนี้คือ “ไม่มีใครรู้ต้นทุนจริงของการรักษา” ทุกฝ่ายต่างใช้ข้อมูลของตัวเอง โดยไม่มีข้อมูลกลางที่สะท้อนภาพรวมของประเทศ
“ต้นทุนจริงอาจเป็น 7,000 บาท 8,350 บาท หรือ 13,000 บาทก็ได้ ไม่มีใครรู้เลย และทุกฝ่ายก็เรียกร้องภายใต้ความไม่รู้ตรงนี้ทั้งนั้น”
เขาเน้นว่า การสร้าง “ระบบข้อมูลกลางสุขภาพแห่งชาติ” เป็นทางออกระยะยาวที่จะทำให้การคำนวณงบประมาณ โปร่งใส ยุติธรรม และสอดคล้องกับต้นทุนจริงของหน่วยบริการทุกแห่ง
“ถ้าเราทำได้ เราจะกลายเป็นประเทศต้นแบบของระบบหลักประกันสุขภาพในโลก เพราะทุกประเทศที่มีระบบแบบนี้ก็เจอปัญหาเดียวกัน คือไม่มีข้อมูลจริง แต่ตอนนี้เทคโนโลยีทำให้เราสามารถรู้ได้ทั้งหมด เพียงแค่ต้องกล้าปฏิรูป”
“อย่าเพิ่งพูดถึงร่วมจ่าย ถ้าระบบยังบริหารจัดการไม่ดี”
นพ.สุรพงษ์ กล่าวถึงแนวคิด “ร่วมจ่าย” ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่า ยังไม่ควรหยิบยกมาพูดในเวลานี้ เพราะปัญหาสำคัญอยู่ที่ “การบริหารจัดการระบบ” ไม่ใช่การให้ประชาชนต้องจ่ายเพิ่ม
“ในความเห็นของผม ถ้าระบบบริหารจัดการยังมีปัญหาอยู่ อย่าเพิ่งไปพูดเรื่องร่วมจ่าย เพราะมันจะกลายเป็นการโยนภาระให้ประชาชนโดยที่ระบบเองยังไม่ถูกแก้ ถ้าเรายังบริหารจัดการแย่อยู่ ต่อให้เก็บร่วมจ่าย ระบบก็ไม่ดีขึ้น แถมยังทำให้คนรู้สึกว่าไม่ต้องแก้ปัญหาจริง ๆ แล้วก็ใช้การร่วมจ่ายมาปกปิดปัญหาแทน”
“30 บาทรักษาทุกโรค” สัญลักษณ์ของความรับผิดชอบร่วม
นพ.สุรพงษ์ กล่าวต่อว่า แนวคิด “ร่วมจ่าย” ในอดีตที่ออกแบบไว้ตอนเริ่มต้นโครงการ “30 บาทรักษาทุกโรค” ไม่ได้มีเจตนาเพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ แต่เพื่อให้ประชาชนรู้สึกถึง “ความรับผิดชอบร่วม” ต่อการใช้บริการสาธารณสุขอย่างมีเหตุผล
“ในอดีต เราเสนอให้ร่วมจ่ายในอัตราคงที่ เช่น 30 บาท หรือบางคนอาจเสนอ 50 หรือ 100 บาท ซึ่งไม่ใช่ภาระหนักสำหรับประชาชน และช่วยสร้างวินัยในการใช้บริการสุขภาพ เช่น ไม่เดินเข้าร้านขายยาหรือโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น ถ้าจ่ายสัก 30 บาท ผมคิดว่ายังสมเหตุสมผล และเป็นแนวคิดที่เหมาะสม”
อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า “ร่วมจ่ายแบบคงที่” เช่น 30 บาท แตกต่างโดยสิ้นเชิงจาก “ร่วมจ่ายตามสัดส่วนค่าใช้จ่าย” ซึ่งอาจกลายเป็นภาระมหาศาลต่อผู้ป่วย
“ร่วมจ่ายตามเปอร์เซ็นต์” เสี่ยงผลักคนจนออกจากระบบ
นพ.สุรพงษ์ ระบุว่า หากจะมีการร่วมจ่ายในลักษณะเป็น “เปอร์เซ็นต์” ของค่ารักษาพยาบาล เช่น 10%, 20% หรือ 30% นั่นจะสร้างความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง
“สมมติผู้ป่วยมะเร็งค่ารักษา 1 ล้านบาท ถ้าให้ร่วมจ่าย 30% เท่ากับต้องจ่าย 300,000 บาท แล้วจะมีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้เลย ระบบจะกลายเป็นการกันคนจนออกจากสิทธิ์ที่ควรได้รับ”
เขายืนยันว่า หากเป็นการร่วมจ่ายลักษณะนี้ ไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด
“อย่าพูดให้คนอื่นร่วมจ่าย ถ้าตัวเองไม่พร้อมร่วมด้วย”
นพ.สุรพงษ์ ตั้งคำถามกลับไปยังกลุ่มที่เสนอให้ “ระบบบัตรทองร่วมจ่าย” ว่า หากจะพูดถึงความเป็นธรรมจริง ๆ ทำไมระบบอื่นจึงไม่ถูกพูดถึงด้วย
“ถ้าจะบอกว่าประชาชนในระบบบัตรทองต้องร่วมจ่าย งทำไมระบบประกันสังคมไม่ร่วมจ่าย? ทำไมระบบสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งมีสิทธิ์ดีที่สุดในประเทศถึงไม่ต้องร่วมจ่าย?”
เขากล่าวว่า ในกรณีของประกันสังคม แม้ผู้ประกันตนจะร่วมสมทบเงินทุกเดือน แต่สิทธิ์ประโยชน์มากกว่าเรื่องการรักษาพยาบาล เพราะมีทั้งกอง เงินชดเชยการว่างงาน คลอดบุตร หรือชราภาพ จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบตรง ๆ ได้
“ส่วนระบบข้าราชการ ลองคิดดูสิครับ ถ้าข้าราชการต้องร่วมจ่าย 30% เวลาผ่าตัดหรือรักษาโรคร้ายแรง เขาจะยอมไหม? ถ้าพร้อมร่วมด้วยจริง ๆ ค่อยพูดเรื่องร่วมจ่ายกันได้ แต่ส่วนใหญ่เวลาพูดถึงการร่วมจ่าย มักพูดถึงคนอื่น ไม่ค่อยพูดถึงตัวเอง”
นพ.สุรพงษ์ ทิ้งท้ายว่า ประเด็นเรื่องร่วมจ่ายไม่ควรถูกหยิบมาเป็นข้ออ้างในการแก้ปัญหางบประมาณระยะสั้น สิ่งสำคัญกว่าคือการทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และบริหารจัดการได้จริง
“ก่อนจะพูดถึงร่วมจ่าย เราต้องแน่ใจว่าระบบบริหารจัดการมีประสิทธิภาพก่อน เพราะถ้าระบบยังรั่ว ยังไม่โปร่งใส ต่อให้เก็บร่วมจ่ายจากประชาชน ระบบก็ไม่ดีขึ้นอยู่ดี”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




