“เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวโดนสามีทำร้าย เข้ามาอยู่ในบ้านพักฉุกเฉิน อยากให้มีสถานที่รองรับผู้หญิงที่คิดหาทางแก้ไขไม่ออก เพราะอยู่ที่นี่รู้สึกปลอดภัย”
“พอท้อง 6 เดือน ก็ไม่มีให้เราทำงานในไลน์การผลิต ด้วยความเป็นแม่อยากการให้ลูกได้กินนมเราจะดีกว่าให้ลูกไปอยู่ต่างจังหวัด และอยากปั้มนมส่งกลับไปให้ลูก”
“เจ็บป่วยของลูกคนกลางที่เป็นโรคหอบหืด ยาบางตัวนอกระบบ บัตร 30 บาทใช้ไม่ได้ แต่ในต่างประเทศที่แม่เลี้ยงเดี่ยวจะจ่ายให้ตามอัตรา
“มีน้อง แต่พ่อทิ้งไปตั้งแต่ยังไม่คลอดลูก ยอมรับเป็นวัยรุ่นเราก็เลี้ยงลูกมาเอง และห่วงตอนที่ตัดเล็บป้อนยา ต้องใช้คนที่มองเห็น แต่เรามองไม่เห็น ถ้าอยู่ต่างจังหวัดก็อยากให้มีอสม.หรือมีผู้ช่วยเหลือคนพิการที่มีบุตร”
เป็นคำบอกเล่าของตัวแทนผู้หญิงในหลากหลายอาชีพที่สะท้อนถึงปัญหาที่ต้องแบกรับในภาวะความเป็นแม่ พร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายความคุ้มครองมารดา ผ่านในเวทีเสวนานโยบายสาธารณะ “ความมั่นคงและมีสุขของผู้หญิงทุกช่วงวัย : ปลอดภัย ไม่แบก ไม่จม” ภายใต้โครงการ “เร่งรัดสวัสดิการและการคุ้มครองทางสังคมสำหรับมารดาและผู้ปกครองที่ทำงาน” เพื่อร่วมรณรงค์เนื่องในโอกาสวันยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็กสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปี
นอกจากนี้ยังเป็นเวที นำเสนอปัญหาและข้อเสนอนโยบายสวัสดิการ กับวาระสำคัญของประเทศ ในการการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและการบริหารประเทศ คาดว่าจะเริ่มขึ้นต้นปี พ.ศ.2569
สถานการณ์ของเด็กเกิดน้อยกว่า 2 แสนคนต่อปี ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการคุ้มครองสวัสดิการให้กับแม่และครอบครัวสมัยใหม่ ที่ต้องแบกรับภาระและค่าใช้จ่ายทำให้หลายคนตัดสินใจไม่มีลูกเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสวัสดิการมารดา ทำให้เครือข่ายองค์กรผู้หญิงทำการวิจัยการผลักดันให้เกิดสวัสดิการ มารดาโดยเฉพาะในมารดากลุ่มเปราะบาง
เพิ่มสวัสดิการแม่ แก้เด็กเกิดน้อย
เรืองรวี พิชัยกุล จากสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา บอกว่า เพื่อให้เกิดการคุ้มครองสวัสดิการมารดา ทำให้เครือข่ายถึงงานวิจัยการคุ้มครองทางสังคมสำหรับมารดากลุ่มเปราะบาง ว่า เนื่องจากสถานการเด็กไทยมีอัตราเกิดน้อยต่ำกว่า 1% แต่ต้องการ 1.5% เพื่อทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ขณะที่ทั่วโลกต้องการถึง 2.1% เพื่อทดแทนประชากร
“อยากให้เปลี่ยนแนวคิดการเลี้ยงลูกต้องเป็นเรื่องบริการสาธารณสุข เป็นสาธารณะไม่ใช่แค่ครอบครัว และเสนอให้รัฐบาลต้องลงทุน 1-2% ของจีดีพี ตอนนี้ลงไม่ถึง 1% ของจีดีพี และผู้ช่วยเลี้ยงเด็ก และผู้บริบาลเป็นสิ่งที่ต้องผลักดันจึงทำให้ย่า ยายต้องกลับมาเลี้ยงเอง“
เสนอสวัสดิการ 6 กลุ่มแม่เปราะบาง
สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา ได้จัดเก็บข้อมูลข้อเสนอจากกลุ่มแม่และผู้เกี่ยวข้องจำนวน 6 กลุ่มที่ได้สะท้อนสภาพปัญหาที่ต้องเผชิญ ดังนี้
- กลุ่มแม่พิการ อยากให้มีเบี้ยยังชีพ 3,000 บาทต่อเดือน เงินสงเคราะห์บุตร 3,000 บาท มีศูนย์เด็กเล็ก การศึกษาพิเศษใกล้บ้าน
- แม่เลี้ยงเดี่ยว แม่วัยใส แม่ผู้เผชิญความรุนแรง เสนอให้มีเงินอุดหนุนถ้วนหน้า ที่พักพิงปลอดภัย เงินเลี้ยงดูบุตร 1,000-3,000 บาทต่อเดือน
- กลุ่มแม่ชนเผ่า อยากให้มีการรับรองสถานะบุคคล หน่วยบริการแม่-เด็กพื้นที่สูง เงินอุดหนุน 1,500-2,000 บาทต่อเดือนถึงอายุ 12 ปี ผู้ช่วยเลี้ยงเด็กและศูนย์เด็กเล็ก
- แม่อาชีพอิสระ ปรับ ม.40 ให้ครอบคลุมแม่–เด็ก เงินอุดหนุนต่อเนื่อง ศูนย์เด็กเล็กราคาประหยัด ส่งเสริมทักษะดิจิทัล/อาชีพ กองทุนฉุกเฉิน ประกันสุขภาพเด็ก
- กลุ่มยาย-ย่าที่เลี้ยงหลาน อยากให้สนับสนุนแพมเพิส นมผง วัคซีนและมีพื้นที่ดูแลเด็กในชุมชน
- แม่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ กองทุนเยียวยาแม่เลี้ยงเดี่ยว/หญิงหม้าย ศูนย์เด็กเล็กเข้าถึงง่าย ปรับกฎหมายหลังหย่า ส่งเสริมอาชีพยั่งยืน ลดตราบาปทางสังคม
- ยาย-ย่าที่เลี้ยงหลาน สนับสนุนแพมเพิส นมผง วัคซีน พื้นที่ดูแลเด็กในชุมชน สิทธิแรงงาน (ลาคลอด/มุมให้นม) ส่งเสริมอาชีพเสริมใกล้บ้าน
3 ข้อเสนอเชิงนโยบายเพิ่มสวัสดิการ
ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อพรรคการเมมือง เพื่อจัดสวัสดิการทางสังคมและการคุ้มครองทางสังคม ด้านการดูแลเด็กและมารดาที่มีคุณภาพ โดยมีจุดเน้นสำคัญ การพัฒนาคุณภาพของเด็กเป็นศูนย์กลาง เพื่อเสริมสร้างทุนมนุษย์ สร้างความเสมอภาค และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในระยะยาว ดังนี้
- นโยบายที่มุ่งเน้นเด็กเป็นศูนย์กลางและสนับสนุนครอบครัว การสร้างหลักประกันการดูแลเด็กที่มีคุณภาพสำหรับเด็กทุกคน และการเพิ่มประชากรที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน ต้องด าเนินการควบคู่กับมาตรการอุดหนุนโดยตรงต่อเด็กและมารดา
- มาตรการอุดหนุนโดยไม่เลือกปฏิบัติควรสนับสนุนเงินอุดหนุนเด็กและการให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์หรือแรกเกิด เสนอเพิ่มการชดเชยขาดรายได้ให้ดูแลได้อย่างน้อย 3 เดือน และเงินช่วยเหลือเด็กกับเด็กทุกคน 600 บาท ไม่ใช่จำกัดแค่ต้องให้พ่อแม่ไปพิสูจน์ความยากจนคนจนที่รายได้ไม่ถึง 100,000 บาทเพราะจะลดภาระทั้งแม่และลูกได้ รวมทั้งการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ
- การขยายและยกระดับบริการดูแลเด็กที่มีคุณภาพ การเข้าถึงบริการดูแลเด็กที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสมเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมและ เศรษฐกิจ
- การเพิ่มจำนวนและยกระดับคุณภาพบริการ: สถานบริการหรือมาตรการดูแลเด็กที่มีมาตรฐาน (ไม่ว่าจะเป็นของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน หรือการดูแลโดยปู่ย่า-ตายาย) จะส่งผลเชิงบวกต่อโอกาสการจ้างงานและคุณภาพชีวิตของผู้หญิง รวมถึงสนับสนุนการเติบโตทาง เศรษฐกิจของประเทศ
- ผลกระทบในภาพรวม: การยกระดับคุณภาพบริการดูแลเด็กจะส่งผลต่อระบบโดยรวม ทั้งในด้านการพัฒนาการของเด็ก การส่งเสริมสวัสดิการ ครอบครัว และการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน โดยเฉพาะในกลุ่มมารดา สตรีสูงวัย และพี่เลี้ยงเด็ก
- การจัดการกับอุปสรรคและความเปราะบางที่ทับซ้อน การขาดแคลนหรือการเข้าไม่ถึงบริการดูแลเด็กที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม เป็นอุปสรรคสำคัญที่จำกัดโอกาสการมีงานทำ และการพัฒนาศักยภาพของผู้หญิงในตลาดแรงงาน
คุ้มครองสวัสดิภาพผู้หญิงจากความรุนแรง
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร นายกสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี ระบุว่า ถือเป็นความท้าทายในการผลักดันให้นโยบายสาธารณะเกี่ยวกับสวัสดิภาพสตรี และเด็กให้เกิดการคุ้มครองในบริบทที่ประเทศไทย กำลังอยู่ระหว่างการจัดการเลือกตั้ง และขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ปี 2569
เนื่องจากสถิติยังมีผู้หญิงถูกกระทำเฉลี่ยวันละ 42 ราย เด็กและสตรีเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จากแนวคิดค่านิยมชายเป็นใหญ่ บวกกับความตึงเครียดจากเศรษฐกิจถดถอย ภัยสู้รบ ภัยพิบัติขนาดใหญ่ ปัจจัยทางสังคม รวมทั้งภัยความรุนแรงรูปแบบใหม่ทางออนไลน์
พญ.พรรณพิมล ระบุอีกว่า ตลอดเวลา 45 ปี บ้านพักฉุกเฉินสามารถช่วยเหลือสตรีและเด็กที่เผชิญความรุนแรงกว่า 60,000 ราย ทั้งที่พักพิง อาหาร และการดูแลสุขภาพ ที่สำคัญช่วยทำให้ทุกคนผ่านช่วงเวลายากที่สุดในชีวิตสามารถฟื้นฟูตัวเองจนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติมากที่สุด รวมทั้งสร้างทักษะชีวิตเติบโตขึ้นโดยไม่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาชีวิต ดังนั้นการช่วยเหลือแม้จะบรรเทาบาดแผลทางกายได้ แต่การบรรเทาบาดแผลทางจิตใจ ต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคแม้ว่าจะช่วยเหลือเพียง 1 รายที่เผชิญความยุ่งยากจนคืนกลับสู่สังคม
“เวทีนี้จึงอยากมุ่งเน้นแนวคิดปลอดภัย ในกลุ่มผู้หญิงและเด็ก รวมทั้งจะทำอย่างไรเพื่อให้ผู้หญิง ไม่แบก ไม่จม ซึ่งเป็นงานวิจัยศึกษาทางเศรษฐกิจภายใต้ความเป็นมารดา ซึ่งพบว่าผู้หญิงต้องแบกภาระดูแลลูก ดูแลผู้สูงอายุ ดูแลเศรษฐกิจของครอบครัว จนขาดการพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเหลื่อมล้ำ จะขาดโอกาสการเข้าถึงสวัสดิการ“
กฎหมายลาคลอด ยังมีปัญหาทางปฏิบัติ
นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานกรรมาธิการยุติธรรม สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ในบทบาทของ สว.ทบทวนร่างกฎ หมายที่สภาผู้แทนร่างมาแล้วหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.คุ้ม ครองแรงงาน ในประเด็นสิทธิของสามี ที่จะมาดูแลภรรยา จะไปใส่คำว่าคู่สมรส ซึ่งจะกระทบกับแรงงานที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส สามีจะไม่มีสิทธิลางานมาดูภรรยาได้ โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติ ถ้าจะจดทะเบียนสมรส ต้องหาหลักฐานจากต้นทางมาให้นายจ้าง
.ส่วนเรื่องที่ผ่านแล้วคือ พ.ร.บ.ลาคลอด เชื่อว่าจะมีปัญหามากกับแรงงานที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ ที่บางคนอาจไม่มีสามี หรือสามีเสียชีวิต หรือถูกสามีทิ้ง จะทำให้ไม่ได้รับการคุ้มครอง ดังนั้นหากระบุไว้เฉพาะคู่สมรส โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเข้ามาช่วยเหลือดูแลได้ เท่ากับว่าหญิงที่ไม่จดทะเบียนสมรสจะไม่ได้รับสิทธิ
”ความท้าทายคือกฎหมายที่ออกไปแล้ว อยู่ที่การนำไปปฏิบัติ ก็จะทำให้ผู้หญิงไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการที่ดี เช่นสิทธิการลาคลอด ให้สามีช่วยเลี้ยงดูลูก ซึ่งระบุว่าคู่สมรสทำให้คนที่ไม่ได้จดทะเบียนเข้าไม่ถึงสิทธิ หรือให้พ่อแม่พี่น้องมาดูก็ไม่ได้ ดังนั้นขอให้ดูรายละเอียด เพราะถ้ามีการเข้าถึงความยุติธรรมจะมีปัญหาการตีความ รวมถึงการเรียกร้องสวัสดิการผู้หญิง เช่น ห้องให้นมบุตร แม้แต่ในสภายังไม่มี อยากให้รัฐทำเป็นแบบอย่างก่อน“
ขณะที่การแก้กฎหมายการคุกคามทางเพศ และมีการเพิ่มเติมนิยามการคุกคามทางเพศ และคำว่าอนาจารไม่มีนิยามในกฎหมายไทย ซึ่งแก้ไขไม่สุดการชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี
พรรคการเมือง ผลักดันสวัสดิการผู้หญิง
ด้าน วรรณวิภา ไม้สน ประธานกรรมาธิการสวัสดิการสังคม สส.พรรคประชาชน ยืนยันว่า การเลือกตั้งใหม่ พรรคประชาชน ยังมีนโยบายด้านสวัสดิการทั้งกลุ่มแรงงาน สตรีและเด็กครบ เพราะเป็นนโยบายเรือธงของพรรคแต่ยังไม่ขอลงรายละเอียดตอนนี้
“สิ่งที่ผลักดันสำเร็จเกี่ยวกับแรงงานในระบบ คือประกาศสิทธิการลาคลอด 120 วันรวมถึงคู่สมรสและให้พ่อลาได้ แม้จะยังไม่ตามเป้าเสนอ 180 วันแต่ถือเป็นอีกก้าวที่ขยับได้ นอกจากนี้ยังมีร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ซึ่งเกี่ยวกับลาไปดูแลคนที่รัก และการลาปวดประจำเดือน ซึ่งต้องลุ้นส่าจะทันในวาระ 2,3 ทันสมัยนี้หรือไม่“
วรรณวิภา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังเร่งผลักดันยังมีส่วนเรื่องการจ่ายเงินสวัสดิการให้เด็กและผู้สูงอายุ และอยากทำแก้นิยามคนพิการ ที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการ และสำเร็จแล้วคือพิการตาบอดข้างเดียวให้ถือเป็นผู้พิการที่เคยไม่ได้สิทธิประโยชน์ และการส่งนมฟรีจากแม่ผ่านสายการบิน
ขณะที่พยายามผลักดันให้เกิดการปรับปรุงระเบียบเงินกองทุนที่นายจ้างสมทบให้ผู้พิการตามมาตรา 34 เกือบ 10,000 ล้านบาท จะทำอย่างไรให้นำออกมาใช้ดูแลคนพิการได้
รัชฎาภรณ์ แก้วสนิท พรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่า การผลักดันชีวิตความเป็นอยู่สวัสดิภาพของผู้หญิงและแรงงานเป็นเรื่องยาก แต่หลังจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง เริ่มมีองค์กรภาคประชาชนที่ทำงานด้านแรงงานสตรีและเด็ก เตรียมจะขอเข้าพบเพื่อนำเสนอในส่วนนโยบายพรรคเรื่องแรงงาน สตรีและเด็ก เพราะเพิ่งมีการเปลี่ยนคณะกรรมการนโยบาย
ตรัยฉัตร ธนสารไตรภพ กรรมการบริหารและรองโฆษก พรรคไทยสร้างไทย ระบุว่า ผู้หญิงอยู่ในสถานะนางแบก ทั้งเป็นแม่ เลี้ยงลูก การหาเงิน การดูแลพ่อแม่ แต่สวัสดิการกลับย้อนแย้งมาก ดังนั้นพรรคจะผลักดันสวัสดิการตามสิทธิพื้นฐานที่ได้ต้องเท่าเทียมกัน หมายถึงดูแลตั้งแต่เกิดจนแก่ ข้อเสนอดูแลผู้หญิงตั้งแต่ตั้งครรภ์ 3,000 บาทเพื่อบรรเทาค่าใช้จ่าย และกรณีที่แรงงานตั้งครรภ์ถูกปฎิเสธ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:


