รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 มาตรา 78 กำหนดว่า “รัฐจะต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นได้เอง พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น”
นับเป็นจุดเริ่มต้นการกระจายอำนาจที่สำคัญ และเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐให้ความเป็นอิสระแก่ท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเอง ตามความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นทั้งอิสระในการกำหนดนโยบายการปกครอง การบริหาร การบริหารงานบุคคล การเงิน การคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเอง
ต่อยอดมาสู่แนวคิดการ “เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด” ถูกนำเสนอต่อสังคมหลายครั้ง ตั้งแต่แนวคิดทฤษฎี มุมมองทางวิชาการ ข้อเสนอจากภาคประชาสังคม รวมถึงการยกตัวอย่างต่างประเทศ ฯลฯ หนึ่งในเหตุผลที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอ คือเพื่อแก้ปัญหาการรวมศูนย์อำนาจการบริหารประเทศไว้ที่ส่วนกลาง ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้หลากหลายมิติมากขึ้น
แต่แทบทุกครั้งที่มีข้อเสนอให้ “เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด” เพื่อเดินหน้าปฏิรูประบบราชการและสนับสนุนการกระจายอำนาจเต็มรูปแบบ ข้อเสนอดังกล่าวมักถูกต่อต้านจาก “ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย” เป็นอย่างมาก
นอกจากการแสดงทรรศนะในระดับผู้บริหารของกระทรวงฯ ส่วนกลาง หลายครั้งยังมีความเคลื่อนไหวโดยกลุ่มข้าราชการในระดับภูมิภาค ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัด กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ
หนึ่งในเหตุผลที่มักถูกหยิบยกมาถกเถียงในเชิงวิชาการ คือ การที่ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยว ประชาชนไม่พร้อม รายได้แต่ละจังหวัดไม่เพียงพอต่อการจัดการงบประมาณและค่าใช้จ่าย รวมถึงความกังวลว่าจะมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ เพราะเห็นตัวอย่างในการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ
กระทั่งปี 2565 มีการเกิดขึ้นของแคมเปญ #เลือกตั้งผู้ว่าฯทั่วประเทศ ความหวัง กระจายอำนาจสู่ต่างจังหวัด โดยกลุ่ม We’re All Voters เพื่อรวบรวมรายชื่อประชาชนผ่าน Change.org แต่ดูเหมือนว่ากระแสของสังคมยังไม่ได้ผลักให้ข้อเสนอนี้ถูกขยายผลไปสู่การรับรู้ของประชาชนในวงกว้าง หรือท่าทีตอบรับจากภาครัฐ มีเพียงการถูกยกระดับไปสู่การจัดทำเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองหลายพรรค ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่แตกต่างกันที่รายละเอียด
ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลชูนโยบายการกระจายอำนาจในการหาเสียง แต่สุดท้ายเมื่อไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนโยบายนี้จึงไม่ถูกขานรับจากภาคการเมือง ในขณะที่ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ จากพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศได้ประกาศนโยบาย ผู้ว่าฯ CEO เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการบริหารงานในแต่ละจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
ต่อมา ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือ P Move ยื่นเรื่องข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาล ด้านการกระจายอำนาจ ขอให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง เพื่อปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นและสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ช่วงเลือกตั้ง นายก อบจ. 1 ก.พ. 2568 47 จังหวัด และ สมาชิก อบจ. 76 ทั่วประเทศ หลายภาคส่วนเริ่มกลับมาเคลื่อนไหว ประเด็นการกระจายอำนาจการปกครองท้องถิ่นอีกครั้ง โดยหยิบยกเรื่องบทบาท อำนาจ หน้าที่ ตลอดจนการใช้งบประมาณของ อบจ. ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
1 ก.พ. 2568
10 ต.ค. 2566
3 ต.ค. 2566
23 เม.ย. 2566
12 เม.ย. 2565
19 มิ.ย. 2558
24 มิ.ย. 2555
1 ม.ค. 2554
2540