หลายคนอาจจะรู้เพียงแค่ว่า การดูแลพื้นที่ป่าไม้ หรือ การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดอ๊อกไซด์และช่วยลดปัญหาโลกร้อน
แต่อีกเหนึ่งระบบนิเวศน์ที่ช่วยจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมที่หลายคนไม่รู้จัก หรือ ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก คือ “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะไม่เพียงเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน แต่ยังเป็นพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งอาหารให้มนุษย์และสัตว์ รวมไปถึงช่วยลดความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วม
พื้นที่ชุ่มน้ำคืออะไร ?
“พื้นที่ชุ่มน้ำ” เป็น พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำหรือชุ่มไปด้วยน้ำตามฤดูกาล อาจเกิดจากน้ำใต้ดินซึมขึ้นมาจากชั้นหิน หรืออาจมาจากแม่น้ำ ทะเล หรือทะเลสาบบริเวณใกล้เคียง เป็นได้ทั้งพื้นที่ชุ่มน้ำน้ำจืด พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง
พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีทั้งระบบนิเวศน้ำจืดและชายฝั่งเข้าด้วยกัน ทั้งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงถือเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด และเป็นแหล่งอาศัยที่สำคัญของพืชและสัตว์นานาชนิด พื้นที่ทำรังวางไข่ แหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำ
อีกทั้งยัง เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่ช่วยลดโลกร้อน มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนสูงกว่าป่าไม้ 5-10 เท่า ลดความรุนแรงของน้ำท่วม ลดการพังทลายหน้าดิน ช่วยควบคุมการไหลเวียนของน้ำไปยังแหล่งน้ำใต้ดิน และคงความสมดุลของทรัพยากรทางชีวภาพไว้
รวมถึงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ และเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศอย่าง นก โดยเฉพาะนกอพยพของทั่วโลก
วิกฤต พื้นที่ชุ่มน้ำไทย “เสื่อมโทรม – ลดลง”
ปัจจุบันทั่วโลกมีพื้นที่ชุ่มน้ำรวมกันประมาณ 8.3-10.2 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.6-2.0% ของพื้นที่โลก และในประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างน้อย 36,616.16 ตารางกิโลเมตร หรือ 22,885,100 ไร่ หรือคิดเป็น 7.5 %ของพื้นที่ประเทศไทย
ปัจจุบันพบว่า พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย เสื่อมโทรม และมีพื้นที่ลดลงเกินครึ่งของพื้นที่ชุ่มน้ำในปัจจุบัน สาเหตุจากการถูกแปลงเป็นพื้นที่เพื่อการเกษตร การแผ่ขยายของชุมชนเมือง การสร้างเขื่อนและการจัดการน้ำ มลพิษ รวมไปถึงการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ
แม้ที่ผ่านมาเมื่อ 20 ปีที่แล้วไทยให้ความสำคัญกับพื้นที่ชุ่มน้ำ และ เข้าร่วมเป็นภาคี อนุสัญญาพื้นที่ชุ่มน้ำโลก หรือ อนุสัญญาแรมซาร์ ลำดับที่ 110 มีผลบังคับใช้เมื่อ 13 ก.ย. 41 อนุสัญญาแรมซาร์ เป็นอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ตั้งขึ้น เพื่อมีวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ ในพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืนภายใต้เงื่อนไขการจัดการในแต่ละประเทศนั้น ๆ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญ นานาชาติ โดยเฉพาะเป็นแหล่งที่อยู่ของนกน้ำ”
ที่ผ่านมาประเทศไทย มีพื้นที่ชุ่มน้ำที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ (Ramsar Site) จำนวน 14 แห่ง เรียงตามลำดับ ดังนี้
- พรุควนขี้เสี้ยน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จ.พัทลุง
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จ.หนองคาย
- ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม
- ปากแม่น้ำกระบี่ จ.กระบี่
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จ.เชียงราย
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ (พรุโต๊ะแดง) จ.นราธิวาส
- อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-หมู่เกาะลิบง-ปากน้ำตรัง จ.ตรัง
- อุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ จ.ระนอง
- อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี
- อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา
- กุดทิง จ.บึงกาฬ
- อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
- เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช
- เกาะระ เกาะพระทอง จ.พังงา
ไม่มีกฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำในไทย
ส่วนสาเหตุที่พื้นที่ชุ่มน้ำใประเทศไทย เสื่อมโทรม และ ลดลง หาญรงค์ เยาวเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะทำงานพื้นที่ชุ่มน้ำ ภายใต้คณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บอกว่า มาจากการขาดความเข้าใจ และให้ความสำคัญ จนทำให้ไม่สามารถปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำไว้ได้
นอกจากนี้รวมไปถึง ไม่ได้มีกฎหมายที่ดูแลการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย มีเพียงมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ และ เมื่อ 1 ส.ค. 43 และ 3 พ.ย. 52 ซึ่งเห็นชอบทะเบียนรายพื้นที่ชุ่มน้ำ แบ่งออกเป็น
- พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ จำนวน 69 แห่ง
- พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ จำนวน 47 แห่ง
ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 3 พ.ย. 52 และ 12 พ.ค. 58 ซึ่งเห็นชอบมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ จำนวน 17 ข้อ
“หาญรงค์” บอกว่า นอกจากนี้ยังไม่มีกฎหมายที่ดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำโดยเฉพาะ มีเพียงมติครม. กำหนดแนวทางการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อ 1 ส.ค. 43 ที่บังคับใช้มาประมาณ 25 ปี และมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 3 พ.ย. 52
“คำว่า “พื้นที่ชุ่มน้ำ”ไม่มีคำนิยามในกฎหมายไทย แม้จะมีเขียนไว้ใน พ.ร.บ. ทรัพยากรน้ำ ที่มีเขียนว่าพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่ไม่มีคำนิยาม และไม่มีแนวทางในการควบคุมป้องกันทำให้มีปัญหาการขอใช้พื้นที่ โดยเฉพาะหน่วยงานราชการที่ไม่เข้าใจ มักจะมีโครงการพัฒนาต่างๆในพื้นที่ชุ่มน้ำ”
แม้จะมีมติ ครม. กำหนดแนวทางในการบริหารจัดการพื้นที่ชุมน้ำโดยห้ามหน่วยงานใด ใช้ปนะโยชน์ ยึดครอง หรือ ครอบครอง พื้นที่ชุ่มน้ำ ควรสงวนไว้เป็นแหล่งน้ำ หรือ พื้นที่สาธารณะ
แต่ที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐ ได้เสนอ ครม.ยกเว้นการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อนำไปพัฒนาโครงการ ที่ผ่าน หน่วยงานภาครัฐ ตีความพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่น อบต. เปลี่ยนแปลงพื้นที่นำไปสร้างมหาวิทยาลัย ทำเป็นตลาดนัด หรือ ถมพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นที่จอดรถ ทำให้สูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำ
” สำนักพุทธศาสนาเป็นหน่วยงานที่ขอมาใช้พื้นที่ชุ่มน้ำมากที่สุด เพื่อสร้างมินิพุทธมณฑล โดยเสนอขอยกเว้น มติครม. แต่คณะทำงานพื้นที่ชุ่มน้ำไม่อนุมัติทำให้ก่อสร้างไม่ได้”
“บึงบอระเพ็ด -กว๊านพะเยา” ยังไม่เป็น”แรมซาร์ไซต์”
ความไม่เข้าใจของหน่วยงานภาครัฐ ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ อย่าง “บึงบอระเพ็ด -กว๊านพะเยา”ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน “แรมซาร์ไซต์”ในระดับนานาชาติ แม้ว่าจะขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำในไทยแล้วก็ตาม
“ที่ผ่านมาการ เสนอชื่อ“บึงบอระเพ็ด -กว๊านพะเยา” เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับนานาชาติ แต่ถูกคัดค้านจากจังหวัด เพราะจะทำโครงการป้องกันน้ำท่วม และขอยกเว้นการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำตามมติครม. ทำให้ไม่ต้องทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แต่ถ้าอยู่ในบัญชีพื้นที่ชุ่มน้ำในระดับนานาชาติ ทำให้โครงการเหล่านี้ต้องทำ อีไอเอ”
“หาญณรงค์”บอกว่า คณะทำงานพื้นที่ชุ่มน้ำ ไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่า การดำเนินการโครงการใดๆบนพื้นที่ชุ่มน้ำต้องเข้าใจระบบนิเวศของพื้นที่ และควรทำรายงานอีไอเอ เพื่อจะรู้ว่าควรจะถมพื้นที่ตรงไหน และเว้นพื้นที่ตรงไหน ไม่ให้ กระทบต่อระบบนิเวศพื้นที่ดังกล่าว
” ปัญหาพื้นที่ชุ่มน้ำวิกฤตจริง รวมถึงความเข้าใจของหน่วยงานราชการปละประชาชนไม่ได้เข้าใจประโยชน์ของพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยเฉพาะ ราชการเข้าใจว่าเป็นพื้นทีว่างเปล่า และต้องการพัฒนา ซึ่งเมื่อพัฒนาพื้นที่ก็เกิดผลกระทบกับระบบนิเวศของพื้นที่”
ต้องมี “กฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำ”
ความเสื่อมโทรม และพื้นที่ที่ลดลงของพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย ทำให้ “หาญณรงค์” เห็นด้วยหากจะมีกฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อการควบคุมดูและ บังคับใช้อย่างเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันกลไกการดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และใช้มติคณะรัฐมนตรีในการควบคุมจัดการ ทำให้ไม่สามารถปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำเอาไว้ได้
ที่ผ่านมามี ภาคประชาชนได้นำเสนอกฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำ ขณะเดียวกันพรรคประชาชนก็นำเสนอกฎหมายฉบับนี้เช่นเดียวกัน
ศนิวาร บัวบาน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า พรรคประชาชนได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ เข้าสภาฯ ตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค.68 หลังจบการอภิปรายนโยบายรัฐบาลอนุทิน จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ตอนนี้ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำภาคกลาง เช่น อยุธยา อ่างทอง พรรคประชาชนได้เข้าพื้นที่ พบว่าพื้นที่รับน้ำส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง จึงจัดว่ามีความสำคัญมากในการบรรเทาน้ำท่วม
ที่ผ่านมา ร่าง พ.ร.บ. พื้นที่ชุ่มน้ำ ได้ผ่านการหารือกับนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคม รวมถึงองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศ และเห็นว่า แม้ว่าประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือ อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) ตั้งแต่ปี 2541 แต่จนปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำให้สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าว
แม้จะมี มติ ครม. กฎหมายป่าไม้และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้แทน เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535, พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 แต่กฎหมายเหล่านี้ยังขาดกรอบและกลไกในการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งมีระบบนิเวศที่แตกต่างจากทรัพยากรน้ำสาธารณะทั่วไป ทำให้การพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำขาดความรอบด้าน
การขาดกฎหมายที่คุ้มครองดูแลที่ชัดเจน ทำให้ พื้นที่ชุ่มน้ำหลายแห่งถูกทำลายลง เช่น เวียงหนองหล่ม จ.เชียงราย ที่ล่มสลายจากโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ นอกจากนี้ การกำหนดและจำแนกประเภทของพื้นที่ป่าไว้หลายรูปแบบ ทำให้มีการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ซ้อนทับกันหลายแห่ง ก่อให้เกิดปัญหาด้านการอนุรักษ์และคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำ ส่งผลให้ยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำอีกหลายแห่งที่มีความสำคัญ แต่ยังไม่ได้รับความคุ้มครอง
“พรรคประชาชนจึงเสนอร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อให้ประเทศมีกฎหมายที่สอดคล้องกับการที่เราเป็นภาคีอนุสัญญาแรมซาร์ และเพื่อให้มีระบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำตามหลักการของความยั่งยืน อนุรักษ์และยับยั้งการสูญหายของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำในไทย”
โดยร่างกฎหมายจะใช้เป็นกรอบการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งมีกลไกการดำเนินงาน ประกอบด้วย คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำจังหวัด องค์กรชุมชนพื้นที่ชุ่มน้ำท้องถิ่น และกองทุนส่งเสริมอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยคณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ จะมีหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน รวมถึงจัดทำรายการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ
ที่ผ่านมา การกำหนด แก้ไขเปลี่ยนแปลง และเพิกถอนเขตพื้นที่ชุ่มน้ำ จะใช้มติ ครม. ซึ่งสามารถทำได้ง่าย แต่ขาดการศึกษาอย่างรอบด้าน ในกฎหมายของพรรคประชาชน จึงให้อำนาจส่วนนี้เป็นของคณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ
โดยเสนอให้มีองค์ประกอบของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น ด้านธรณีสัณฐานวิทยา อุทกวิทยา มีนวิทยาหรือสัตววิทยา พฤกษศาสตร์ เพื่อให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งต่างจาก คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญรายสาขา เช่น เกษตร ผังเมือง สิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลให้การบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: