ThaiPBS Logo

อวสานพื้นที่ชุ่มน้ำ? ”เสื่อมโทรม-บุกรุก“ ลดลงเกือบครึ่ง ไร้กฎหมายควบคุม

23 ต.ค. 256814:33 น.
อวสานพื้นที่ชุ่มน้ำ? ”เสื่อมโทรม-บุกรุก“ ลดลงเกือบครึ่ง ไร้กฎหมายควบคุม
  • ตลอด 20 ปีหลังอนุสัญญาพื้นที่ชุ่มน้ำ พบพื้นที่ชุ่มน้ำไทยลดลงเกือบครึ่ง บุกรุกกันหนัก แปลงสภาพเป็นพื้นที่เกษตรและการขยายตัวของตัวเมือง
  • “บึงบอระเพ็ด -กว๊านพะเยา” ยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติได้ เหตุหน่วยงานท้องถิ่นคัดค้าน เพราะต้องการพื้นที่ในการพัฒนา
  • ไม่มีกฎหมายควบคุมดูแลที่ชัดเจน มีเพียงมติคณะรัฐมนตรีกำหนดแนวทางการจัดการ ทำให้ขอยกเว้นใช้พื้นที่ได้ง่าย
  • พรรคประชาชนเสนอ ร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ กลไกเฉพาะทาง – จัดตั้ง “คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ”ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางบริหารจัดการพื้นที่
วิกฤตพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย พื้นที่ 20 ล้านไร่ ลดลงเกือบครึ่ง อาจถึงกาลอวสาน เหตุหน่วยงานภาครัฐขาดความเข้าใจ ขอใช้พื้นที่ดังกล่าว สร้างมหาวิทยาลัย ถมทำที่จอดรถ ขณะที่ เนื่องจากไม่มีกฎหมายควบคุมดูแลมีเพียงมติคณะรัฐมนตรีกำหนดแนวทางจัดการพื้นที่ ทำให้ขอยกเว้นใช้พื้นที่ เสนอร่างกฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำ

หลายคนอาจจะรู้เพียงแค่ว่า การดูแลพื้นที่ป่าไม้ หรือ การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดอ๊อกไซด์และช่วยลดปัญหาโลกร้อน

แต่อีกเหนึ่งระบบนิเวศน์ที่ช่วยจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมที่หลายคนไม่รู้จัก หรือ ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก คือ “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะไม่เพียงเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน แต่ยังเป็นพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งอาหารให้มนุษย์และสัตว์ รวมไปถึงช่วยลดความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วม

พื้นที่ชุ่มน้ำคืออะไร ?

“พื้นที่ชุ่มน้ำ” เป็น พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำหรือชุ่มไปด้วยน้ำตามฤดูกาล อาจเกิดจากน้ำใต้ดินซึมขึ้นมาจากชั้นหิน หรืออาจมาจากแม่น้ำ ทะเล หรือทะเลสาบบริเวณใกล้เคียง เป็นได้ทั้งพื้นที่ชุ่มน้ำน้ำจืด พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง

พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีทั้งระบบนิเวศน้ำจืดและชายฝั่งเข้าด้วยกัน ทั้งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงถือเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด และเป็นแหล่งอาศัยที่สำคัญของพืชและสัตว์นานาชนิด พื้นที่ทำรังวางไข่ แหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำ

อีกทั้งยัง เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่ช่วยลดโลกร้อน มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนสูงกว่าป่าไม้ 5-10 เท่า ลดความรุนแรงของน้ำท่วม ลดการพังทลายหน้าดิน ช่วยควบคุมการไหลเวียนของน้ำไปยังแหล่งน้ำใต้ดิน และคงความสมดุลของทรัพยากรทางชีวภาพไว้

รวมถึงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ และเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศอย่าง นก โดยเฉพาะนกอพยพของทั่วโลก

วิกฤต พื้นที่ชุ่มน้ำไทย “เสื่อมโทรม – ลดลง”

ปัจจุบันทั่วโลกมีพื้นที่ชุ่มน้ำรวมกันประมาณ 8.3-10.2 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.6-2.0% ของพื้นที่โลก และในประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างน้อย 36,616.16 ตารางกิโลเมตร หรือ 22,885,100 ไร่ หรือคิดเป็น 7.5 %ของพื้นที่ประเทศไทย

ปัจจุบันพบว่า พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย เสื่อมโทรม และมีพื้นที่ลดลงเกินครึ่งของพื้นที่ชุ่มน้ำในปัจจุบัน สาเหตุจากการถูกแปลงเป็นพื้นที่เพื่อการเกษตร การแผ่ขยายของชุมชนเมือง การสร้างเขื่อนและการจัดการน้ำ มลพิษ รวมไปถึงการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ

แม้ที่ผ่านมาเมื่อ 20  ปีที่แล้วไทยให้ความสำคัญกับพื้นที่ชุ่มน้ำ และ เข้าร่วมเป็นภาคี อนุสัญญาพื้นที่ชุ่มน้ำโลก หรือ อนุสัญญาแรมซาร์   ลำดับที่ 110 มีผลบังคับใช้เมื่อ 13 ก.ย. 41   อนุสัญญาแรมซาร์   เป็นอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ตั้งขึ้น เพื่อมีวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ ในพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืนภายใต้เงื่อนไขการจัดการในแต่ละประเทศนั้น ๆ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญ นานาชาติ โดยเฉพาะเป็นแหล่งที่อยู่ของนกน้ำ”

ที่ผ่านมาประเทศไทย มีพื้นที่ชุ่มน้ำที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ (Ramsar Site) จำนวน 14 แห่ง  เรียงตามลำดับ ดังนี้

  1. พรุควนขี้เสี้ยน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จ.พัทลุง
  2. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จ.หนองคาย
  3. ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม
  4. ปากแม่น้ำกระบี่ จ.กระบี่
  5. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จ.เชียงราย
  6. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ (พรุโต๊ะแดง) จ.นราธิวาส
  7. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-หมู่เกาะลิบง-ปากน้ำตรัง จ.ตรัง
  8. อุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ จ.ระนอง
  9. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี
  10. อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา
  11. กุดทิง จ.บึงกาฬ
  12. อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
  13. เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช
  14. เกาะระ เกาะพระทอง จ.พังงา

ไม่มีกฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำในไทย

ส่วนสาเหตุที่พื้นที่ชุ่มน้ำใประเทศไทย เสื่อมโทรม และ ลดลง หาญรงค์   เยาวเลิศ  ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะทำงานพื้นที่ชุ่มน้ำ ภายใต้คณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ  กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บอกว่า  มาจากการขาดความเข้าใจ และให้ความสำคัญ จนทำให้ไม่สามารถปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำไว้ได้

นอกจากนี้รวมไปถึง ไม่ได้มีกฎหมายที่ดูแลการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย มีเพียงมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ และ เมื่อ 1 ส.ค. 43 และ 3 พ.ย. 52  ซึ่งเห็นชอบทะเบียนรายพื้นที่ชุ่มน้ำ แบ่งออกเป็น

  •     พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ จำนวน 69 แห่ง
  •     พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ จำนวน 47 แห่ง

ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 3 พ.ย. 52 และ 12 พ.ค. 58 ซึ่งเห็นชอบมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ จำนวน 17 ข้อ

“หาญรงค์”   บอกว่า  นอกจากนี้ยังไม่มีกฎหมายที่ดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำโดยเฉพาะ  มีเพียงมติครม.  กำหนดแนวทางการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อ  1 ส.ค. 43  ที่บังคับใช้มาประมาณ 25 ปี และมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 3 พ.ย. 52

“คำว่า “พื้นที่ชุ่มน้ำ”ไม่มีคำนิยามในกฎหมายไทย แม้จะมีเขียนไว้ใน  พ.ร.บ. ทรัพยากรน้ำ ที่มีเขียนว่าพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่ไม่มีคำนิยาม และไม่มีแนวทางในการควบคุมป้องกันทำให้มีปัญหาการขอใช้พื้นที่ โดยเฉพาะหน่วยงานราชการที่ไม่เข้าใจ มักจะมีโครงการพัฒนาต่างๆในพื้นที่ชุ่มน้ำ”

แม้จะมีมติ ครม. กำหนดแนวทางในการบริหารจัดการพื้นที่ชุมน้ำโดยห้ามหน่วยงานใด ใช้ปนะโยชน์ ยึดครอง หรือ ครอบครอง พื้นที่ชุ่มน้ำ ควรสงวนไว้เป็นแหล่งน้ำ หรือ พื้นที่สาธารณะ

แต่ที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐ ได้เสนอ ครม.ยกเว้นการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อนำไปพัฒนาโครงการ ที่ผ่าน หน่วยงานภาครัฐ ตีความพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่น  อบต. เปลี่ยนแปลงพื้นที่นำไปสร้างมหาวิทยาลัย ทำเป็นตลาดนัด  หรือ ถมพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นที่จอดรถ  ทำให้สูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำ

” สำนักพุทธศาสนาเป็นหน่วยงานที่ขอมาใช้พื้นที่ชุ่มน้ำมากที่สุด เพื่อสร้างมินิพุทธมณฑล โดยเสนอขอยกเว้น มติครม.  แต่คณะทำงานพื้นที่ชุ่มน้ำไม่อนุมัติทำให้ก่อสร้างไม่ได้”

“บึงบอระเพ็ด -กว๊านพะเยา” ยังไม่เป็น”แรมซาร์ไซต์”

ความไม่เข้าใจของหน่วยงานภาครัฐ ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ อย่าง “บึงบอระเพ็ด -กว๊านพะเยา”ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน “แรมซาร์ไซต์”ในระดับนานาชาติ แม้ว่าจะขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำในไทยแล้วก็ตาม

“ที่ผ่านมาการ เสนอชื่อ“บึงบอระเพ็ด -กว๊านพะเยา” เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับนานาชาติ แต่ถูกคัดค้านจากจังหวัด เพราะจะทำโครงการป้องกันน้ำท่วม และขอยกเว้นการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำตามมติครม. ทำให้ไม่ต้องทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แต่ถ้าอยู่ในบัญชีพื้นที่ชุ่มน้ำในระดับนานาชาติ ทำให้โครงการเหล่านี้ต้องทำ อีไอเอ”

“หาญณรงค์”บอกว่า คณะทำงานพื้นที่ชุ่มน้ำ ไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่า การดำเนินการโครงการใดๆบนพื้นที่ชุ่มน้ำต้องเข้าใจระบบนิเวศของพื้นที่ และควรทำรายงานอีไอเอ เพื่อจะรู้ว่าควรจะถมพื้นที่ตรงไหน และเว้นพื้นที่ตรงไหน  ไม่ให้ กระทบต่อระบบนิเวศพื้นที่ดังกล่าว

” ปัญหาพื้นที่ชุ่มน้ำวิกฤตจริง รวมถึงความเข้าใจของหน่วยงานราชการปละประชาชนไม่ได้เข้าใจประโยชน์ของพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยเฉพาะ ราชการเข้าใจว่าเป็นพื้นทีว่างเปล่า และต้องการพัฒนา ซึ่งเมื่อพัฒนาพื้นที่ก็เกิดผลกระทบกับระบบนิเวศของพื้นที่”

ต้องมี “กฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำ”

ความเสื่อมโทรม และพื้นที่ที่ลดลงของพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย ทำให้ “หาญณรงค์”  เห็นด้วยหากจะมีกฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อการควบคุมดูและ บังคับใช้อย่างเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันกลไกการดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และใช้มติคณะรัฐมนตรีในการควบคุมจัดการ ทำให้ไม่สามารถปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำเอาไว้ได้

ที่ผ่านมามี ภาคประชาชนได้นำเสนอกฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำ ขณะเดียวกันพรรคประชาชนก็นำเสนอกฎหมายฉบับนี้เช่นเดียวกัน

ศนิวาร บัวบาน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน  กล่าวว่า พรรคประชาชนได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ เข้าสภาฯ ตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค.68  หลังจบการอภิปรายนโยบายรัฐบาลอนุทิน จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ตอนนี้ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำภาคกลาง เช่น อยุธยา อ่างทอง พรรคประชาชนได้เข้าพื้นที่ พบว่าพื้นที่รับน้ำส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง จึงจัดว่ามีความสำคัญมากในการบรรเทาน้ำท่วม

ที่ผ่านมา ร่าง พ.ร.บ. พื้นที่ชุ่มน้ำ ได้ผ่านการหารือกับนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคม รวมถึงองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศ  และเห็นว่า แม้ว่าประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือ อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) ตั้งแต่ปี 2541 แต่จนปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำให้สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าว

แม้จะมี มติ ครม. กฎหมายป่าไม้และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้แทน เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535, พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 แต่กฎหมายเหล่านี้ยังขาดกรอบและกลไกในการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งมีระบบนิเวศที่แตกต่างจากทรัพยากรน้ำสาธารณะทั่วไป ทำให้การพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำขาดความรอบด้าน

การขาดกฎหมายที่คุ้มครองดูแลที่ชัดเจน ทำให้ พื้นที่ชุ่มน้ำหลายแห่งถูกทำลายลง เช่น เวียงหนองหล่ม จ.เชียงราย ที่ล่มสลายจากโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ นอกจากนี้ การกำหนดและจำแนกประเภทของพื้นที่ป่าไว้หลายรูปแบบ ทำให้มีการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ซ้อนทับกันหลายแห่ง ก่อให้เกิดปัญหาด้านการอนุรักษ์และคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำ ส่งผลให้ยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำอีกหลายแห่งที่มีความสำคัญ แต่ยังไม่ได้รับความคุ้มครอง

“พรรคประชาชนจึงเสนอร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อให้ประเทศมีกฎหมายที่สอดคล้องกับการที่เราเป็นภาคีอนุสัญญาแรมซาร์ และเพื่อให้มีระบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำตามหลักการของความยั่งยืน อนุรักษ์และยับยั้งการสูญหายของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำในไทย”

โดยร่างกฎหมายจะใช้เป็นกรอบการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งมีกลไกการดำเนินงาน ประกอบด้วย คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำจังหวัด องค์กรชุมชนพื้นที่ชุ่มน้ำท้องถิ่น และกองทุนส่งเสริมอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยคณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ จะมีหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน รวมถึงจัดทำรายการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ

ที่ผ่านมา การกำหนด แก้ไขเปลี่ยนแปลง และเพิกถอนเขตพื้นที่ชุ่มน้ำ จะใช้มติ ครม. ซึ่งสามารถทำได้ง่าย แต่ขาดการศึกษาอย่างรอบด้าน ในกฎหมายของพรรคประชาชน จึงให้อำนาจส่วนนี้เป็นของคณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ

โดยเสนอให้มีองค์ประกอบของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น ด้านธรณีสัณฐานวิทยา อุทกวิทยา มีนวิทยาหรือสัตววิทยา พฤกษศาสตร์ เพื่อให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งต่างจาก คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญรายสาขา เช่น เกษตร ผังเมือง สิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลให้การบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ทรัพยากรน้ำ

การบริหารจัดการน้ำตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กำหนดให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่จัดทำนโยบายและแผนแม่บทเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรน้ำในระยะ 20 ปี

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ทรัพยากรป่าไม้

นโยบายป่าไม้แห่งชาติ กำหนดให้มีการบริหารจัดการป่าไม้ของประเทศอย่างสมดุล และนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยกำหนดให้มีพื้นที่ป่าไม้ทั่วประเทศอย่างน้อยใน 40% ของพื้นที่ประเทศ และให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: