กลไกการเงินและตลาดคาร์บอนเครดิต เป็นหนึ่งในมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ที่ผ่านมา องค์กรภาคประชาชนเครื่องมือเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจเอกชน ซึ่งอาจกระทบต่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย
“ Policy watch” มีโอกาสพูดคุยกับ “พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช” อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ กรมลดโลกร้อน เพื่อถามถึงข้อกังวลของภาคประชาชนต่อการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย
ข้อห่วงใย ประเด็นแรก กรณีการใช้ป่าเพื่อดูดซับคาร์บอนเอื้อให้ภาคเอกชนลดความจริงจังในการลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตของตัวเองหรือไม่
“พิรุณ” อธิบายว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทุกประเทศ จะแบ่งเป็นภาคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ภาคอุตสาหกรรม ภาคพลังงาน ภาคขนส่ง ซึ่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต
ส่วนภาคที่ดูดกลับก๊าซเรือนกระจก โดยใช้พื้นที่ป่าไม้ และ การใช้เทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage, CCS) และ เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) โดยประเทศที่เริ่มมีการพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว อาทิ สหรัฐฯ นอร์เวย์ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น
ขณะที่ภาคเอกชนไทย อาทิ กลุ่ม ปตท. อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อใช้เทคโนโลยี ในการดูดกลับคาร์บอนเนื่องจากยังมีต้นทุนที่สูงในการลงทุน
เพิ่มพื้นที่ป่าไม้ ดูดกลับ “คาร์บอน”
ภาคป่าไม้ถือเป็นพื้นที่ดูดซับคาร์บอนหลักของไทยโดยขณะนี้มีพื้นที่ป่าไม้ 320 ล้านไร่ สามารถใช้พื้นป่าไม้ดูดกลับคาร์บอนจำนวน 107 ล้านตัน ขณะที่ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 385 ล้านตัน
หากไทยต้องการเดินไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2065 การพึ่งพาการดูดกลับคาร์บอนภาคป่าไม้อย่างเดียวจึงเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น จึงกำหนดเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ โดยเพิ่มพื้นที่สีเขียวไว้ 55% แบ่งเป็นพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมาย 35% พื้นที่เป็นป่าเศรษฐกิจ 15% และพื้นที่สีเขียวในเมืองชนบทอีก5%
“เราต้องเพิ่มพื้นที่การดูดซับคาร์บอน โดยหากดูจากเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ พบว่าเราต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์10 ล้านไร่ ป่าเศรษฐกิจต้องเพิ่มอีก 6ล้านไร่ แล้วก็พื้นที่สีเขียวในเมืองเพิ่มอีกประมาณสัก3ล้านไร่ เพื่อจะให้มีขีดความสามารถในการดูดคาร์บอน ประมาณสัก 120 ล้านตัน”
รัฐดึงเอกชน ใช้“คาร์บอนเครดิต”เพิ่มพื้นที่ป่า
“พิรุณ” ตั้งคำถามว่า หากต้องดูดซับคาร์บอนอีก 10 ล้านตันคาร์บอน ประเทศไทยต้องเพิ่มพื้นที่ป่าไม้อีกหลายสิบล้านไร่ แต่ลำพังภาครัฐอาจจะไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ได้ทัน เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณต้องดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมปลุกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ผ่านกลไกที่เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต”
“การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในการดูดกลับคาร์บอนฯ เราสามารถทำได้ ผ่านกลไก คาร์บอนเครดิต แล้วถามว่าคาร์บอนเครดิต มันเป็นผู้ร้ายจริงหรือไม่ แล้วถ้าคาร์บอนเครดิตเป็นผู้ร้าย ทำไมทุกประเทศทั่วโลกจึงเลือกใช้กลไกนี้ แล้วทำไมประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวที่จะใช้ไม่ได้”
ขณะที่กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมที่ออกมาตั้งข้อสังเกต และต้องการให้รัฐทบทวน กลไกคาร์บอนเครดิต จากพื้นที่ป่าไม้ เพราะอาจไม่ใช่คำตอบของการลดก๊าซเรือนกระจก แต่จะเป็นเพียงเครื่องมือของภาคเอกชนเพื่อให้สิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ต่อไปหรือไม่
“พิรุณ” อธิบายว่า ถ้าประเทศอื่นใช้ “คาร์บอนเครดิต” แต่ไทยเป็นประเทศเดียวที่ไม่ใช้ แล้วเราจะได้รับประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ ซึ่งแน่นอนว่าไทยอาจจะเสียประโยชน์หากไม่เข้าร่วมกลไกคาร์บอนเครดิต
“ผมมองว่าตลาดคาร์บอนเครดิตของโลก มันเติบโตขึ้นจากเดิมที่การซื้อขายคาร์บอน ประมาณ 25% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลก แต่ปัจจุบันเติบโตขึ้นไปถึง 30 ถึง 35% เพราะฉะนั้นกลไกของคาร์บอนเครดิต ราคาคาร์บอนมันมีผลต่อการช่วยในการลดก๊าซเรือนกระจกได้จริง เพียงแต่เราต้องใช้กลไกนี้ให้เป็นธรรมโปร่งใสและถูกต้องต่างหาก ที่เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ”
การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ผ่านกลไก”คาร์บอนเครดิต” จึงเกิดขึ้นผ่าน 3 หน่วยงานภาครัฐ ประกอบด้วย กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งซึ่งออกระเบียบมาให้ภาคเอกชนมาช่วยปลูกป่า และแบ่งปันคาร์บอนเครดิตเพื่อให้ภาครัฐได้พื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้น
“ เราก็ต้องมาคิดกันว่าถ้าภาคเอกชนไม่มา ภาครัฐจะเพิ่มพื้นที่ป่าอย่างไร จะเอางบประมาณในการปลูกป่าได้เพียงพอหรือไม่ แต่ภาคเอกชนช่วยปลูกและลงทุนเอง 100 % รัฐมีหน้าที่ควบคุมดูว่าพื้นที่ปลูกได้รับการดูแล รัฐไม่ได้จ่ายสักบาท แต่เราคาดหวังว่าเราจะได้ป่า เอกชนมีสิทธิ์ได้คาร์บอนไป แต่เอกชนก็มีความเสี่ยง ว่าเขาสามารถเอาคาร์บอนไปขายได้หรือไม่ แต่ถ้าขายไม่ได้คือต้นทุน100%อยู่ที่ภาคเอกชน แต่รัฐได้พื้นที่ป่าแล้ว”
เอกชนใช้พื้นที่ป่า “ฟอกเขียว”ไม่ได้
ขณะที่การออกระเบียบให้ภาคเอกชนเข้ามาใช้พื้นที่ป่า ถูกตั้งคำถามจากเครือข่ายเสริมสร้างความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและหยุดคาร์บอนเครดิต เพราะเห็นว่าจะเกิดการเบี่ยงเบนความรับผิดชอบ ทำให้เอกชนไม่ลงทุนลดก๊าซเรือนกระจก ในกิจกรรมของตนเอง แต่ไปซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยทดแทน จนนำไปสู่การฟอกเขียวหรือไม่
“พิรุณ” บอกว่า เป็นไปได้ยากมาก ที่บริษัทขนาดใหญ่ จะใช้พื้นที่ป่าไม้ในโครงการคาร์บอนเครดิต เพื่อไม่ต้องลงทุนลดก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมของตัวเอง เพราะทั้ง ปตท. SCG ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากหลาย 10 ล้านตันคาร์บอน
ดังนั้นลำพัง โครงการปลูกป่าอย่างเดียวไม่ช่วยให้การลดก๊าซเรือนกระจกของพวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ประกาศเอาไว้ เนื่องจากบริษัทเอกชนเหล่านี้ ประกาศเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
“บริษัทยักษ์ใหญ่ เขาไม่ได้ปล่อยคาร์บอนฯแค่แสนตัน แต่เขาปล่อยหลาย 10 ล้านตันเขาปลูกป่าล้านไร่ ช่วยลดคาร์บอนได้แค่ล้านตัน เพราะฉะนั้นเขาต้องปลูกป่าขนาดไหน ถึงจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนฯ 10กว่าล้านตันได้”
“พิรุณ”บอกอีกว่า การปลูกป่าไม่สามารถทำได้ในระยะเวลารวดเร็วเพียงพอที่เขาจะสามารถนำไปลดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเขาได้ เพราะฉะนั้นนอกจากโครงการปลูกป่า ภาคเอกชนต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิด หรือ ในกิจกรรมของตัวเองด้วย
“เพราะฉะนั้นโครงการปลูกป่า”คาร์บอนเครดิต” ไม่ใช่การฟอกเขียว แต่มันช่วยให้ประเทศสามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้เร็วขึ้นแต่เอาเงินภาคเอกชนมาลงทุน และเขาสามารถเอาคาร์บอนเครดิตไป เอาไปใช้ในการชดเชยกิจกรรมของพวกเขาในช่วง transition หรือช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านเท่านั้นเอง เพราะสุดท้าย ภาคเอกชนถ้าเขาไม่ลดจากกระบวนการผลิตของเขาเอง ไม่มีทางบรรลุเป้าหมายได้”
“พิรุณ” ยืนยันว่า สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามว่าภาคเอกชน จะใช้พื้นที่ป่าไม่เพื่อฟอกเขียวให้ตัวเอง ไม่ต้องลดคาร์บอนจากกระบวนการผลิต จึงไม่จริง ขณะที่การแบ่งปันผลประโยชน์ในการใช้พื้นที่ป่าไม้ มีการสนับสนุนชุมชนในการที่เข้ามาร่วมดูแลเข้ามาร่วมปลูก
“ มันเป็นความเข้าใจผิดปลูกป่าแล้วเอกชนไม่ต้องไปลดแหล่งกำเนิด ผมกล้าท้าให้ไปถามเอกชนที่มีโครงการปลูกป่า ด้วยกลไกคาร์บอนเครดิต ว่าโครงการปลูกป่าช่วยให้เอกชนไม่ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนจากแหล่งกำเนิด และบรรลุเป้าหมายทำให้คาร์บอนเป็นศูนย์ได้หรือไม่ ไม่มีทางครับ เพราะถ้าไปดูตามแผนของเอกชน การปลูกป่าลดคาร์บอนฯแค่นิดเดียวจากจำนวนที่เขาต้องการลดทั้งหมด”
กระบวนการ “ฟอกเขียว”คืออะไร ?
ส่วนกระบวนการฟอกเขียวมีจริงหรือไม่ แล้วเกิดขึ้นจากกระบวนการอะไร ? “พิรุณ” อธิบายว่า กระบวนการฟอกเขียวมีจริงแต่เป็นเรื่องของการตรวจสอบ ว่าโครงการที่อ้างว่า ลดก๊าซเรือนกระจกสามารถทำได้จริงตามที่รายงานหรือไม่
ปัจจุบันมี มาตรฐานการรับรองคาร์บอนเครดิตมีทั้งในระดับประเทศและระดับสากล สำหรับประเทศไทยคือ โครงการ T-VER ที่ดำเนินการโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) แต่ในตลาดคาร์บอนเครดิตต่างประเทศยังไม่ยอมรับมาตรฐานดังกล่าว
ส่วนมาตรฐานสากลที่ได้รับความเชื่อถือในต่างประเทศ เช่น Verra (VCS), Gold Standard (GS), และ Clean Development Mechanism (CDM) โดยแต่ละมาตรฐานจะมีกฎเกณฑ์เฉพาะในการตรวจสอบและรับรองโครงการลดก๊าซเรือนกระจก
กระบวนการฟอกเขียว จึงหมายถึง โครงการคาร์บอนเครดิต ที่นำไปอ้างว่าช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและไปชดเชยในกิจกรรมของตัวเองได้ แต่เมื่อตรวจสอบแล้วโครงการดังกล่าวไม่ได้ช่วยลดได้จริง หรือช่วยลดในสัดส่วนที่น้อยมาก
“การฟอกเขียวสำหรับผมคือ โรงงาน หรือบริษัทไปทำโครงการปลูกป่าในพื้นที่รัฐ แต่ป่าไม่โต แต่ด้ำเอาคาร์บอนเครดิต จาการคำนวณป่าที่โตแล้วไปใช้ในการหักลบกับการปล่อยคาร์บอนในกิจกรรมจองตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าฟอกเขียว”
“พิรุณ” มองว่า การฟอกเขียว สามารถป้องกันได้ โดยการตรวจสอบรับรอง อย่างโปร่งใส ด้วยกระบวนการตรวจสอบรับรองที่เชื่อถือได้ ซึ่งทั้งหมดมีกระบวนการมีกลไกในการคำนวณ มีมาตรฐานที่เอกชนไม่สามารถสร้างสูตรกาคำนวณด้วยตัวเองได้
ถ้าเอกชนทำโครงการคาร์บอนเครดิตมีมาตรฐานรับรองจากทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่การรายงานการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยต้องถูกตรวจสอบจากองค์กรสหประชาชาติ การปกปิดข้อมูลเพื่อเคลมว่าลดก๊าซเรือนกระจกได้ โดยที่ปกปิดข้อเท็จจริง จึงใช่เรื่องง่าย
“ผมฟังเสียงเอ็นจีโอ ที่ห่วงกังวลเรื่องการฟอกเขียว ต้องเรียนด้วยความสัตย์จริง มันตรงกับสิ่งที่กรมโลกร้อนกังวล ผมไม่อยากให้เกิดการฟอกเขียว แต่ผมก็ไม่สามารถจํากัดเครื่องมือและกลไกที่จะช่วยพาประเทศไทยไปสู่ประเทศที่ปล่อยคาร์บอนต่ำได้ แต่จะมีกลไกการตรวจสอบภาคเอกชนเพื่อไม่ให้ฟอกเขียวเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก”
ร่างฯพรบ.โลกร้อน คุมสิทธิปล่อยก๊าซเรือนกระจก
กลไกการตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ กฎหมายโลกร้อน ของภาคเอกชนอีกหนึ่งกลไก คือ ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่ง กรมโลกร้อน คาดหวังว่า จะสามารถบังคับใช้ได้ในปี2569
กฎหมายโลกร้อยจะเข้ามาสกัดขบวนการฟอกเขียว โดยเนื้อหากฎหมายมีทั้งหมด 205 มาตรารวม 13 หมวด มีส่วนที่เรียกส่าการใช้กลไกราคาคาร์บอน ประกอบด้วย 3 ส่วน
การจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซดังกล่าวในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของไทย แบบภาคบังคับ แต่ไม่รวมกลุ่ม SME
ภาษีคาร์บอน เป็นเครื่องมือที่ใช้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ ใช้ในผลิตภัณฑ์น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ทำให้สามารถเปลี่ยนผ่านจากฟอสซิล สู่พลังงานทางเลือกอื่น ๆ ได้มากขึ้น
คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ เบื้องต้นจะเป็นการเชื่อมโยงความต้องการคาร์บอนภาคบังคับ หรือ ETS ทำให้มีรับรู้ว่ามีความต้องการที่แท้จริงจากโครงการคาร์บอนเครดิตประเภทไหน ทั้งป่าไม้ การจัดการของเสีย หรือเกษตร ทำให้มีความเกี่ยวข้องกับประชาชนได้มากขึ้น
“ภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก ต้องลดก๊าซเรือนกระจกหรือปล่อยก๊าซสะดวกตามสิทธิที่ได้รับ และสิทธิดังกล่าวจะไปสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศซึ่งจะเข้มงวดขึ้นไปเรื่อย เพื่อให้เกิดการดำเนินการอย่างแท้จริง ไม่มีการฟอกเขียว”
นอกจากนี้ในช่วงเปลี่ยนผ่านของภาคเอกชน ประชาชน เพื่อปรับตัวสู้เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก มีกลไก “กองทุนภูมิอากาศ”ในช่วง 2 ปี โดยเริ่มก่อตั้งกองทุนฯ จะใช้เงินจากภาครัฐ 200 ล้านบาท แต่จะพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐเฉพาะช่วงที่เริ่มก่อตั้งเท่านั้น
จากนั้นเงินที่เข้ามาทดแทนจะมาจากเอกชนที่จะมีการจัดสรรและซื้อสิทธิคาร์บอน เงินบริจาคจาภาคี รวมทั้งการซื้อขายคาร์บอนระหว่างประเทศ ซึ่งอาจมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 1,000-10,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากกฎหมายโลกร้อนบังคับใช้ไม่ทัน2569 เชื่อว่าจะผลกระทบต่อมาตรการลดโลกร้อนของไทย แม้ที่ผ่านมา ช่วงปี 2565 ไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 65.23 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งบรรลุเป้าหมายรายปีที่กำหนดไว้ แต่อาจจะกระทบต่อการลดคาร์บอนในระยะยาวที่ปล่อย 385 ล้านตัน ต้องอาศัยกลไกลเครื่องมือทางกฎหมายเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง