ภายใต้สภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อน โดยประเทศไทยได้ยกระดับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 47 % ให้ได้ภายในปี 2035
คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 4 พ.ย. 68 มีมติเห็นชอบต่อร่างเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) โดยเร่งเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับ 1.5 ºC Pathway ตามนโยบายของรัฐบาลข้อ 13 การผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ที่นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล แถลงต่อรัฐสภา โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ (Economy-wide) ณ ปี ค.ศ. 2035 (พ.ศ. 2578)
บทความที่เกี่ยวข้อง: COP30 มุ่งปกป้องป่าเขตร้อน ตั้งกองทุน-หนุนคาร์บอนเครดิต
แผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุกภาคส่วน (Economy-wide) ภายในปี 2035 และเพิ่มศักยภาพดูดกลับก๊าซในภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน (LULUCF) ให้ระดับการปล่อยสุทธิอยู่ที่ 152 MtCO2eq (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) หรือลดลง 47% จากปี 2019
ดึงเงินต่างชาติ 230,000 ล้านบาท สนับสนุนไทยลดคาร์บอน
นอกจากนี้รัฐบาลเตรียมแผนการลงทุนเพื่อดึงเงินจากต่างประเทศ 230,000 ล้านบาท สนับสนุนไทยลดก๊าซเรือนกระจก 32.8 MtCO2eq (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ตามข้อตกลงปารีส ชี้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจใหญ่ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุนสีเขียว และสร้างงานใหม่
การยกระดับเป้าหมาย NDC 3.0 จะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีแต้มต่อในเวทีโลก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ มีศักยภาพดึงดูดการลงทุนสีเขียวและสร้างงานใหม่ ๆ ในภาคเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาแบบปล่อยคาร์บอนต่ำ
เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด : NDCs คืออะไร
อาจจะยังไม่เข้าใจกันว่า “ เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด NDC 3.0 คืออะไร เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด หรือ Nationally Determined Contributions (NDCs)” เกิดจาก”ความตกลงปารีส”ที่ตกลงกันในปี 2015 กำหนดกลยุทธ์หลักเพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และมุ่งไปที่ 1.5 องศาเซลเซียส
โดยให้แต่ละประเทศพัฒนาเป้าหมายที่เรียกว่า Intended Nationally Determined Contributions (INDCs) โดยเป็นแผนปฏิบัติการด้านภูมิอากาศ
แนวคิดหลักของเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) คือ การให้แต่ละประเทศกำหนดพันธกรณีขึ้นเองโดยพิจารณาจากบริบท ขีดความสามารถและลำดับความสำคัญของประเทศนั้นๆ โดยที่ความตกลงปารีสกำหนดให้มีการทบทวนและยกระดับความมุ่งมั่นของเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ทุกๆ 5 ปี
ที่ผ่านมาได้มีการจัดทำแผน NDCs รอบแรกในปี 2015 และมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรอบถัดไปในปี 2020-2021 และ จัดทำอีกครั้งในปี 2025 โดยที่กรอบเวลาของ NDC 3.0 จะเป็นระหว่างปี 2030-2035
ไทยปรับเป้า NDC 3.0 ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ประเทศไทย โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือ กรมโลกร้อน ได้ทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรมเดินหน้าสู่เป้าหมายคาร์บอนต่ำ ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (พ.ศ. 2564–2573)
ที่ผ่านมาการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 65.23 MtCO2eq (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ซึ่งบรรลุเป้าหมายรายปีที่กำหนดไว้ 64 MtCO2eq
ดังนั้นต้องยกระดับเป้าหมาย “NDC 3.0” ตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิไม่เกิน 152 MtCO2eq (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ภายในปี พ.ศ. 2573 พร้อมพัฒนา “แพลตฟอร์มกลางจัดเก็บข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของประเทศและระบบติดตามผล” (NDC Tracking System) เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลเชิงนโยบาย
เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย
สำหรับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด NDC 3.0 ดังนี้
- ปี 2035 : ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 47 %เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยสามารถลดจากปีละ 287 MtCO2eq (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) เหลือ 152 MtCO2eq (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)
- ปี 2050 : บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
- ปี 2065 : บรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกไทย
ส่วนการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม ไทยได้กำหนดแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ.2564 – 2573 จัดเป็นแผนระดับ 3 ที่บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรับผิดชอบหลักรายสาขา ทั้ง 5 สาขา ดังนี้
- สาขาพลังงาน โดยสำนักงานโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน
- สาขาคมนาคมขนส่ง โดยสำนักงานนโยบายและแผนการจราจรและขนส่ง (สนข.) กระทรวงคมนาคม
- สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม
- สาขาการจัดการของเสียชุมชนและน้ำเสียอุตสาหกรรม โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ
- สาขาเกษตร โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยมีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) เป็นหน่วยประสานงานกลางของประเทศ ส่วนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ณ ปี พ.ศ. 2573 ที่ประเทศไทยต้องดำเนินการเองให้ได้ คือ 184.8 MtCO2eq (หรือร้อยละ 33.3) แบ่งเป็นสาขาต่าง ๆ ดังนี้
- สาขาพลังงาน 124.6 MtCO2eq ( ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)
- สาขาคมนาคมขนส่ง 45.6 MtCO2eq (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า )
- สาขาการจัดการของเสียชุมชนและน้ำเสียอุตสาหกรรม 9.1 MtCO2eq ( ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า )
- สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมฯ 1.4 MtCO2eq (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)
- สาขาเกษตร 4.1 MtCO2eq (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า )
ในส่วนของเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกลงอีก 6.7 % และ 3% ประเทศไทยจะสามารถดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ
ส่งเอกสาร NDC 3.0 โชว์เวที COP30
ทั้งนี้กรมโลกร้อนได้จัดส่ง NDC 3.0 ต่อ UNFCCC และจะนำเสนอต่อที่ประชุม COP 30 ในระหว่างวันที่ 6 – 21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เพื่อประกาศความมุ่งมั่นของไทยในเวทีโลกอย่างเป็นทางการ
รวมถึงเร่งการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแปลงเป้าหมายสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับการเชื่อมโยงระบบติดตามผลแบบดิจิทัล (Digital Tracking) เพื่อให้การดำเนินงานมีความโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพต่อไป
ลุ้น พ.ร.บ.โลกร้อน บังคับใช้ ปี69
ส่วนร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ… หรือ พ.ร.บ.โลกร้อนน ซึ่งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งจะเป็นกลไกในการช่วยให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามแผนนั้น
อยู่ระหว่างเตรียมการเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งต้องจับตากันต่อไปว่า พ.ร.บ.โลกร้อนจะสามารถผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และบังคับใช้ได้ภายในปี พ.ศ. 2569 หรือไม่
ทั้งนี้ พ.ร.บ.โลกร้อน จะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบและเป็นโอกาสสำคัญในการเปลี่ยนผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ รองรับสถานการณ์โลกในการแข่งขันด้านการค้า การลงทุน และภูมิรัฐศาสตร์ ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยความจริงจังและเข้มข้น ผ่านการใช้ “กลไกราคาคาร์บอนในรูปแบบการจัดสรรสิทธิการปล่อยคาร์บอน” (ETS) “ภาษีคาร์บอน” (Carbon Tax) และ “คาร์บอนเครดิต”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- อัพเดทผลกระทบโลกร้อน ไทยปรับตัวได้แค่ไหน?
- ธุรกิจเมินตลาดคาร์บอนเครดิต สวนทางกระแสโลกเดือด
- ธนาคารโลกหนุนไทยส่งออกคาร์บอนเครดิต จูงใจคนลดโลกร้อน




