การคลาดเคลื่อนของการพยากรณ์อากาศ แม้ว่าจะมีเครื่องมือและการเข้าถึงข้อมูลเพื่อติดตามสภาพอากาศ สะท้อนให้เห็นว่าการพยากรณ์อากาศขาดความแม่นยำ ซึ่งอาจไม่ได้เกิดจากเครื่องไม้เครืองมือการพยากรณ์อากาศในยุคใหม่ แต่เกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติแปรปรวนทำให้การพยากรณ์อากาศ “ยากขึ้น” ถึงแม้อุปกรณ์และเทคโนโลยีของไทยจะทันสมัยที่สุดในอาเซียน แต่ยังห่างไกลจากระดับเอเชียและโลกพัฒนาแล้วอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี
แค่ไหนถึงจะพอเพื่อเตรียมตัวสำหรับความแปรปรวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต? เพราะการพยากรณ์อากาศจะสำคัญยิ่งขึ้นในวันที่โลกเปราะบาง
ยอมรับ “พยากรณ์ยากขึ้น”
สมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองอุตุนิยมวิทยาการบิน รักษาการผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ยอมรับว่าการพยากรณ์อากาศในปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก และหลายคนในสายงานการพยากรณ์อากาศก็เห็นตรงกันโดยเฉพาะช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้
ฤดูกาลและสภาพอากาศที่มีความแปรปรวนเป็นหนึ่งในปัจจัย ยกตัวอย่างเช่น โลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิและฤดูกาลที่ไม่เหมือนเดิม ฝนที่เคยมาตามฤดูกาล ตอนนี้ก็เลื่อนมากลางเดือน พ.ค. บ้างหรือปลายเดือน ฤดูหนาวทุกวันนี้กลับกลายมีฝน
เรื่องปริมาณน้ำฝนเองก็สำคัญ เพราะเป็นปัจจัยใหญ่ที่ส่งผลต่อชาวเกษตรกร บางพื้นที่มีลักษณะฝนตกซ้ำไปซ้ำมา อย่างจังหวัดน่าน หรือภูเก็ตเองก็เจอฝนเยอะจนมีเหตุการณ์ดินโคลนถล่ม ในขณะที่บางพื้นที่ไม่มีฝนตกเลย สมควรยกตัวอย่างพื้นที่แถวโคราช เขื่อนลำตะคอง และอีสานตอนใต้ที่ปีนี้มีฝนน้อยมาก เพิ่งจะมีฝนในช่วงปลายเดือน ต.ค. ถึงเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา
อีกปัจจัยหลักคือเรื่องของ ENSO Neutral หรือสภาวะเป็นกลาง มีการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง สมควรกล่าวว่า หากม้องย้อนไปที่ 30 ปีก่อน วัฏจักรในการเปลี่ยนแปลงจะอยู่ที่ 5-7 ปี ครั้ง แต่ว่าในช่วง 10 ปีหลังมานี้จะมีการเปลี่ยนแปลงประมาณทุกๆ 2 ปีครึ่ง หรือปีที่แล้วเองก็มีการปรับเปลี่ยนที่ค่อนข้างบ่อยภายในระยะเวลาหนึ่งปี
ระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงที่ถี่ขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าโลกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

สมควร ต้นจาน
การติดตามพายุทำอย่างไร?
สมควรกล่าวว่า การติดตามพายุหนึ่งลูกจะสามารถมองได้จากสองโซน โซนแรกคือพายุที่มาจากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้หรือทะเลจีนใต้ ผู้รับผิดชอบการติดตามหลักจะเป็นญี่ปุ่น ซึ่งจะเฝ้าดูว่าพายุจะเป็นระดับ Depression ระดับโซนร้อนเมื่อไหร่ และตั้งชื่อพายุให้
อีกโซนพายุที่มาจากฝั่งอ่าวเบงกอลหรือทะเลอาหรับ ซึ่งอินเดียเป็นฝ่ายดูแล ติดตาม และให้ชื่อ แต่ประเทศไทยไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากพายุฝั่งอินเดียสักเท่าไหร่ เพราะพายุส่วนใหญ่ที่กระทบไทยจะมาจากฝั่งตะวันออกหรือทะเลจีนใต้มากกว่า
สมควรบอกต่อว่า ปัจจุบันต้องเริ่ม Monitor ตั้งแต่พายุเข้าเขตประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากมีเรื่องของข่าวลือและ Social Media ที่เข้ามาและมีอิทธิพล โดยในช่วงแรกจะแค่เป็นการให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่ามีพายุในพื้นที่ไหน และจะเริ่มประกาศและติดตามอย่างจริงจังเมื่อพายุได้เคลื่อนที่เข้าสู่ทะเลจีนใต้ ความถี่ในการประกาศก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ความพร้อมของอุปกรณ์ และการนำ AI มาใช้
สิ่งที่หลายคนอยากทราบคือเรื่องอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่กรมอุตุฯ มีว่าพร้อมและทันสมัยหรือไม่ สมควรยืนยันว่าประสิทธิภาพของเครื่องมือมีการพัฒนาที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังต้องการอยู่
หนึ่งสิ่งที่ประเทศไทยขาดคือดาวเทียม ตอนนี้ประเทศไทยต้องอาศัยข้อมูลจากญี่ปุ่นและจีน ซึ่งข้อดีของการมีดาวเทียมคือ จะสามารถสั่งและกำหนดให้ดาวเทียม Monitor ข้อมูลในความถี่ที่เราต้องการได้หรือสามารถเก็บรูปจากดาวเทียมในทันท่วงทีมากกว่า โดยฉพาะเมื่อเกิดสภาวะวิกฤต ถ้าอาศัยดาวเทียมของต่างประเทศ จะได้ข้อมูลทุก 10-15 นาทีเป็นอย่างเร็ว ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถระบุความถี่ได้มากกว่านี้หากเกิดเหตุการณ์สำคัญอะไร อย่างไรก็ตามอาจจะล่าช้าไปหากมีพายุที่เคลื่อนตัวที่เร็ว
สมควรเล่าต่อว่า ที่ประเทศจีนเริ่มนำ AI มาร่วมใช้ในการพยากรณ์ แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลอง ประเทศจีนมีการทดลองและพัฒนา AI จำนวนมาก เพราะได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Huawei สำหรับไทยเองก็มีความตั้งใจที่จะนำ AI เข้ามาใช้ซึ่งตอนนี้ก็มีการทดลองบ้างแล้ว สมควรย้ำว่า จะเป็นข้อดีมากหาก AI สามารถช่วยพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ
ต้องเพิ่มสถานีตรวจวัด
สิ่งที่ควรเพิ่มคือสถานทีตรวจวัดมีความครอบคลุมมากขึ้น ณ ตอนนี้ ข้อมูลในเชิงพื้นที่ อำเภอ และตำบลยังไม่มีความละเอียดเท่าที่ควร สภาพอากาศในอนาคตจะมีความรุนแรงยิ่งขึ้น ฉะนั้นแล้วต้องมีการเตรียมการตั้งแต่ตอนนี้ ข้อมูลที่ละเอียดจะเป็นจุดเริ่มต้นการวางแผนที่ดี
สมควรชี้ ระบบตรวจวัดควรเพิ่มทั้งสองมิติทั้งความถี่และจำนวนสถานี เพื่อระบุรายละเอียดในพื้นที่ให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ณ ตอนนี้ประเทศไทยมีสถานีหลักทั้งหมด 127 สถานีที่มีการรับรองจากกรมอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization) และมีสถานีย่อยอีกประมาณ 188 สถานี ซึ่งยังไม่พอ เพราะบางเหตุการณ์มีลักษณะเกิดขึ้นเฉพาะที่ แปลว่าต้องการข้อมูลพื้นถิ่นจริงๆ
ทั้งนี้สมควรกล่าวว่า ตอบไม่ได้ว่าเท่าไหร่ถึงจะพอ เพราะความจำเป็นขึ้นอยู่กับบริบทของพื้นที่ เช่น ภาคเหนือ ยิ่งมีข้อมูลความถี่สูงยิ่งดีเพราะจะช่วยทั้งน้ำฝน น้ำหลาก และเรื่องฝุ่น เทียบกับภาคกลางที่เป็นพื้นที่ราบ ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอาจจะไม่ต้องใช้ความถี่ของข้อมูลเท่าภาคเหนือ การติดตั้งสถานีจะเป็นติดตั้งตามจังหวัดต่างๆ โดยจังหวัดเป็นผู้บริหารจัดการข้อมูลส่วนพื้นที่ ในขณะที่ส่วนกลางจะมองภาพรวม แต่จะมีการส่งข้อมูลและทำงานร่วมกันเป็นปกติ
หากถามว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหนในระดับโลก? สมควรชี้ว่า ถ้าเทียบกับระดับอาเซียน ประเทศไทยถือว่ามีเครื่องมือตรวจวัดการพยากรณ์ที่มีความถี่สูงสุด แต่ถ้าเทียบกับเกาหลี ญี่ปุ่น หรือจีนก็ห่างกันอยู่
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่เป็นเกาะมีสถานีทั้งหมด 6,000 กว่าสถานี ซึ่งถือว่ามีความถี่สูงมาก จะเห็นได้ว่าไทยกับญี่ปุ่นห่างกันเยอะในเรื่องของเทคโนโลยี นอกจากนี้ที่ญี่ปุ่นยังมีสถาบันด้านอุตุนิยมวิทยา ในขณะที่ประเทศไทยไม่มีสถาบันและงานวิจัยก็น้อยมาก
ประเทศเกาหลีและจีนก็มีความถี่มากๆ เช่นกัน และมีการ Monitoring ที่เป็นระบบ อย่างไรก็ตาม สมควรกล่าวว่า สถานีเยอะแต่ก็ยังมีความคลาดเคลื่อนได้เหมือนกัน
ขาดบุคลากรที่ตรงสาย
นอกจากอุปกรณ์และเทคโนโลยีแล้ว อีกความท้าทายสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเจออยู่คือบุคลากรด้านอุตุนิยมวิทยา สมควรเล่าว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่เพียงพอ ประเทศไทยควรมีผู้ชำนาณการเพิ่ม แต่คนไทยหายากเพราะศาสตร์อุตุนิยมวิทยามีความหลากหลายและศาสตร์นี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากบ้านเรา
แทบจะไม่มีคนที่เรียนจบตรงสายเนื่องจากไม่มีการเปิดสอน ขาดอาจารย์สอน เด็กให้ความสนใจเรียนน้อย และหากจ้างครูจากต่างประเทศมาก็จะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาทำงานจะเรียนจบจากสาย Earth Science หรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ไม่ตรงกับเนื้องานขนาดนั้น และต้องอาศัยการเรียนรู้หน้างานเป็นหลัก
ในอีกแง่หนึ่ง ตลาดงานสายอุตุนิยมวิทยาในประเทศไทยเล็กมาก ไม่มีสถาบันหรือศูนย์วิจัยเหมือนต่างประเทศ จึงทำให้เด็กจบมาก็ไม่มีงานรองรับ สมควรอธิบายว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อมาเป็นนักพยากรณ์ และด้วยเจ้าหน้าที่ที่ไม่เพียงพอ จึงต้องนำเทคโนโลยีมาช่วย
ระบบการแจ้งเตือน
ปัจจุบันมีสองส่วน การแจ้งเตือนหลักๆ จะเป็นของ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ภายใต้กระทรวงมหาดไทยซึ่งทำตามกฎหมายของ พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550
สำหรับหน้าที่ของกรมอุตุฯ คือการแจ้งเตือนตามภารกิจของงาน เช่น แจ้งเรื่องของสภาพอากาศ แจ้งว่ามีพายุอะไร หลังจากนั้นข้อมูลก็จะถูกนำไปบูรณาการกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สำนักทรัพยากรน้ำ (สนทช.) หรือกรมจัดการน้ำ เป็นต้น
นอกเหนือจากนี้ กรมอุตุฯ มีอำนาจที่จะส่งการแจ้งเตือนในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหว เมื่อมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น กรมอุตุฯ จะคำนวนหาจุดศูนย์กลางและส่ง Cell Broadcast หรือ SMS แจ้งเตือนภายใน 5 นาที ในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวกรมอุตุฯ จะสามารถแจ้งเตือนได้เองเพราะการรอ ปภ. จะช้าไป
กฎหมายกรมอุตุฯ จะช่วยอะไร?
ตอนนี้มีความกังวลเรื่องของเอกภาพเข้ามา การมี Social Media ทำให้การส่งข้อมูลไปมาเกิดขึ้นได้เร็ว ผลกระทบคือประชาชนไม่เชื่อถือ ข่าวที่ได้รับจากกรมอุตุฯ เพราะว่าข้อมูลทางการจากกรมอุตุฯ ออกล่าช้ากว่าข่าวบน Social Media และในเวลาเดียวกันกรุมอุตุฯ ไม่มีอำนาจในการห้ามว่าไม่ให้ใครส่งอะไรเพราะไม่มีกฎหมายระบุไว้
สมควรชี้ว่าก่อนหน้านี้พยายามออก พ.ร.บ. ของกรมอุตุฯ แต่ก็ยังนับว่าเป็นกลาง ไม่ได้มีบทลงโทษอะไร ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่างเช่น จีน เกาหลี หรือญี่ปุ่นจะมีกฎหมายเป็นตัวครอบใหญ่และมีบทลงโทษที่ชัดเจนว่าห้ามใครออกประกาศ หรือห้ามดัดแปลงอะไร
การมีกฎหมายจะทำให้กรอบของการแจ้งเตือนภัยมีเอกภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะมี ตอนนี้มีแค่กฎหมายกระทรวงที่อำนาจไม่เพียงพอ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




