ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 ธ.ค. 68 มีมติเห็นชอบหลักการโครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน และอนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) จากธนาคารโลก โดยให้ ธสน. ขออนุมัติการกู้เงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ
ผลิตคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงดึงดูดเงินลงทุน
ประเทศไทยแสดงเจตจำนงในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยเข้าร่วมความตกลงปารีส (Paris Agreement) และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 (COP26) โดยความตกลงปารีส (Paris Agreement) กำหนดให้ประเทศภาคีดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC) ของแต่ละประเทศ
นอกจากนี้ ในการประชุม COP26 ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ดังนั้น การผลักดันบทบาทของประเทศไทยในตลาดคาร์บอนจึงเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลิตและจำหน่ายคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไฟเขียวกู้เงินธนาคารโลก 6,494 ล้านบาท
กระทรวงการคลัง กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ธสน.และธนาคารโลก ได้บูรณาการข้อมูลในการขับเคลื่อนกลไกการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศและด้านการเงินคาร์บอน รวมทั้งสร้างกลไกการมัดรวมคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลเป็นครั้งแรก เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายประเทศผ่านโครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน โดยมี ธสน. เป็นหน่วยงานหลักในการกู้เงินจากธนาคารโลก ภายใต้กรอบวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 6,494 ล้านบาท
โครงการนี้จะเป็นโครงการต้นแบบที่ประเทศไทยสามารถนำเสนอความสำเร็จในการจัดตั้งตลาดคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยในเวทีระดับนานาชาติ ในการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก (IMF – World Bank Group Annual Meetings 2026) ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือน ต.ค. 69 โดยจะเป็นตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางครั้งแรกของโลก และสามารถนำไปขยายผลการดำเนินงานให้กับประเทศอื่น ๆ ต่อไปได้
ทั้งนี้ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการโครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน และอนุมัติให้ กระทรวงการคลัง ค้ำประกันเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) วงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,494 ล้านบาท) จากธนาคารโลก เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยโครงการฯ เป็นการให้ความช่วยเหลือด้านองค์ความรู้จากธนาคารโลกเป็นหลัก เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดคาร์บอนในประเทศไทยครั้งแรก
ธนาคารโลกจะสนับสนุนเงินทุนในรูปแบบของเงินกู้ผ่าน ธสน. เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการด้วย และรัฐบาลไทย โดย กค. ต้องค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขการให้กู้กับภาครัฐของธนาคารโลกที่ต้องให้รัฐบาลเป็นผู้กู้หรือค้ำประกัน
ลงทุนเทคโนโลยีลดคาร์บอนในหน่วยงานรัฐ
โครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและพัฒนาแนวทางการใช้กลไกตลาดคาร์บอน และส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกและพัฒนาตลาดคาร์บอนของประเทศไทย โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. การจัดหาแหล่งเงินทุนและการลงทุน และ 2. การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงในประเทศไทย
สำหรับ การจัดหาแหล่งเงินทุนและการลงทุนสำหรับดำเนินกิจกรรมด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยธนาคารโลกมุ่งหวังที่จะใช้ตลาดการเงิน สถาบันการเงินทั้งของรัฐและเอกชน และภาคเอกชนเป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก ผ่านการนำร่องโดยธนาคารโลกให้เงินกู้แก่ ธสน. เพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อให้แก่ภาคเอกชนซึ่งเป็นบริษัทจัดการด้านพลังงาน (Energy Service Company: ESCOs) และผู้รับเหมา (Engineering – Procurement – Construction : EPCs) เพื่อให้ภาคเอกชนดังกล่าวลงทุนเทคโนโลยีด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) การปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency) ผ่านการเปลี่ยนไฟถนนเป็น LED ในพื้นที่ของหน่วยงานนำร่องภาครัฐ ในระยะแรก ได้แก่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร โดยไม่เป็นภาระงบประมาณด้านการลงทุนติดตั้งระบบของหน่วยงานของรัฐ
เมื่อดำเนินการลงทุนและมีการประหยัดพลังงานเกิดขึ้นแล้ว หน่วยงานของรัฐจึงชำระค่าบริการซึ่งจะมีอัตราที่ต่ำกว่าค่าไฟฟ้าที่หน่วยงานต้องจ่ายก่อนการลงทุนประหยัดพลังงานดังกล่าว เพื่อที่ภาคเอกชนผู้ลงทุนจะได้นำไปชำระคืนเงินกู้ แก่ ธสน. ต่อไป
นอกจากการประหยัดงบประมาณที่เกิดขึ้นแล้ว จะเกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งสามารถนำไปสร้างคาร์บอนเครดิตเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้ของหน่วยงานของรัฐอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ หากการดำเนินการนำร่องประสบความสำเร็จ ธนาคารโลกมุ่งหวังว่าจะสามารถขยายการดำเนินการต้นแบบดังกล่าว โดยภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการลงทุนประหยัดพลังงาน ผ่านการสนับสนุนภาคเอกชน ซึ่งเป็นบริษัทจัดการด้านพลังงาน (ESCOs) และผู้รับเหมา (EPCs) ซึ่งสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ผ่านสถาบันการเงิน โดยไม่เป็นภาระงบประมาณทั้งต่อภาคธุรกิจและภาครัฐ
มัดรวมคาร์บอนเครดิตขายปี 69
การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงในประเทศไทย โดยการจัดตั้งหน่วยประสานงานและบริหารการซื้อขาย (Coordinating and Managing Entity: CME) จากการประสานข้อมูลกับ กระทรวงการคลัง ได้รับแจ้งในเบื้องต้นคาดว่าธนาคารกรุงไทยจะรับเป็นหน่วยประสานงานและบริหารการซื้อขาย (CME) ดังกล่าว ซึ่งมีบทบาทในการนำผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ได้จากหน่วยงานนำร่องภาครัฐและภาคธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการมาสร้างคาร์บอนเครดิตให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การว่าจ้างหน่วยงานรับรองในระดับสากล (เช่น Gold Standard ซึ่งเป็นหน่วยงานรับรองที่มีความน่าเชื่อถือสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์) และการนำคาร์บอนเครดิตที่มาจากโครงการขนาดเล็กต่าง ๆ มามัดรวมกัน (Aggregaion) เพื่อให้เป็นคาร์บอนเครดิตที่มีขนาดและปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ซื้อ
โดยจะเป็นคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพสูง ได้มาตรฐานสากล มีการตรวจวัดและรายงานผลการลดก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบ Digital Monitoring, Reporting and Verification (Digital MRV) เช่น การติดตั้งมิเตอร์ดิจิทัลวัดพลังงานที่ประหยัดได้ ณ จุดติดตั้ง เป็นต้น และยังมีต้นทุนการตรวจรับรองต่อหน่วยต่ำเนื่องจากการมัดรวมโครงการขนาดเล็กจำนวนมากที่มีรูปแบบการดำเนินการเดียวกันมาตรวจรับรองร่วมกัน ทำให้โครงการขนาดเล็กต่าง ๆ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาอาคารเรียน หรืออาคารสำนักงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีโอกาสเข้าถึงการลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมีรายได้จากคาร์บอนเครดิตได้มากขึ้น
เมื่อมีการสร้างคาร์บอนเครดิตในคุณภาพและปริมาณที่เหมาะสม ก็จะเอื้อให้เกิดการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย ซึ่งธนาคารโลกจะร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตด้วย และตั้งเป้าหมายในการขายคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์แรกไปยังตลาดคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ และจะเริ่มขายคาร์บอนเครดิตครั้งแรกภายในปี พ.ศ. 2569
เชื่อมโยงข้อมูลคาร์บอนเครดิต-ลดนับซ้ำซ้อน
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นและข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นเข้ากับระบบรายงานผลตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ของประเทศ เพื่อป้องกันการนับซ้ำของคาร์บอนเครดิต เพื่อให้การศึกษาและพัฒนาแนวทางการใช้กลไกตลาดคาร์บอนเป็นไปด้วยความรอบคอบ
ขณะเดียวกัน เห็นควรให้ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการประเมินความเสี่ยงและการจัดการความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และเป้าหมายของโครงการฯ จะเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกประเภทการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน (EE) และพลังงานหมุนเวียน (RE) โดยผู้ดำเนินโครงการอาจพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของโครงการลดก๊าซเรือนกระจกประเภทการดูดกลับ/กักเก็บก๊าซเรือนกระจก (Remora) ซึ่งเป็นประเภทที่มีความน่าเชื่อถือสูง (High Integrity) และมีความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธปท.แนะปล่อยกู้คำนึงความเสี่ยงลูกหนี้
ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ขัดข้องในหลักการภาพใหญ่ของโครงการฯ แต่มีข้อเสนอให้ปรับรายละเอียดโครงการฯ ในส่วนของการจัดตั้งหน่วยประสานงานและบริหารการซื้อขาย (CME) ว่า ต้องดำเนินการโดยสถาบันการเงินที่มีความพร้อม และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นควรรับเข้าทดสอบการดำเนินการ CME และซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการ “นวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม (Green Innovation)” ภายใต้ Enhanced Regulatory Sandbox (ERS) หรืออนุญาตให้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวได้
รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานของ ธสน. เช่น ควรมีการวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรัดกุมและกำหนดเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัทจัดการด้านพลังงาน (ESCos) และผู้รับเหมางานด้านวิศวกรรมและการก่อสร้าง (EPCs) ให้ครอบคลุมความเสี่ยงของลูกหนี้ ตลอดจนคำนึงถึงการกระจุกตัวของลูกหนี้ตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ (Single Lending Limity)
เนื้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง:


