ปัจจุบัน การดำเนินนโยบายการคลัง (fiscal policy) เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐพ.ศ. 2561 โดยมีการกำหนดรายละเอียดด้านรายจ่าย ตลอดจนเพดานหนี้สาธารณะ ตามคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังของรัฐ คือ
- หนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 60
- ภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ไม่เกินร้อยละ 35
- หนี้สาธารณะที่ออกด้วยสกุลเงินต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 10
- ภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้การส่งออกสินค้าและบริการไม่เกินร้อยละ 5
แต่จากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินกว่าล้านล้านบาท ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น จนกระทั่งคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังจึงได้มีมติเห็นชอบขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะจากเดิมที่กำหนดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ต้องไม่เกินร้อยละ 60 เป็นสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ต่อ GDP เมื่อเดือนก.ย. 2564
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีมติเห็นชอบโครงการลงทุน วงเงินงบประมาณ 1.1 แสนล้านบาท เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 24 มิ.ย. นี้ โดยคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วว่า 1.โครงการทั้งหมดมีการกระจายการลงทุนทั่วประเทศครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดและทุกอำเภอ 2.จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำจะได้เงินลงทุนในสัดส่วนที่สูงกว่าจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวที่สูง เช่น กรุงเทพมหานคร และระยอง เป็นต้น 3.ประมาณการว่าจะสร้างงานได้ประมาณ 6-7 ล้านคน ค่าจ้างตกประมาณ 30% ของที่งบประมาณที่อนุมัติ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาทขึ้นไป
คณะกรรมการฯ เห็นว่า โครงการทุกอย่างได้ผ่านการกลั่นกรองแล้ว และเป็นไปตามหลักวัตถุประสงค์ จึงให้ความเห็นชอบ และหลังจากนี้จะมีการแต่งตั้งอนุคณะกรรมการกำกับติดตามและประเมินผล เพื่อให้โครงการบรรลุความสำเร็จ
ทั้งนี้งบที่อนุมัติส่วนใหญ่กว่า 70% อยู่ในโครงการคมนาคมและน้ำ และ10% เป็นเรื่องการท่องเที่ยว และส่วนที่เหลือเป็นเรื่องอื่น ๆ เช่น วิกฤตภาษีสหรัฐฯ จะมีมาตรกาทางการเงินช่วยเหลือ และมาตรการเรื่องการศึกษา
สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้อนุมัติ เป็นขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน ที่เสนอเข้ามาประมาณ 60,000 ล้านบาท เพราะไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากรัฐมนตรีต้นสังกัด และบางโครงการซ้ำซ้อนกับเรื่องที่เคยทำอยู่แล้ว จะจึงรียกประชุมอีกครั้ง เพื่อพิจารณาว่ามีอะไรตกหล่น และสมควรให้มีการลงทุนหรือไม่ หรือถ้างบประมาณเหลือก็ไม่เป็นไร รัฐบาลจะได้กู้เงินน้อยลง หรือนำไปใช้ในเรื่องที่มีคุณค่าจริงมากกว่า
“ถ้าทำได้หมด 1.57 แสนล้าน จะทำให้ดูขึ้น 0.5-0.6 ถ้างบ 1.1 แสนล้าน จะได้ประมาณ 0.4-0.5 ตรงนี้เราหักในสิ่งที่เคยบวกไว้แล้วตอนที่จะใช่เงินนี้ ก็จัเหลทอประมาณสัก 0.4”
การทบทวนกรอบสัดส่วนการบริหารหนี้สาธารณะในครั้งนี้เป็นไปตามความในมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่กำหนดให้มีการทบทวนสัดส่วนต่างๆ อย่างน้อยทุกสามปี
การขยายเพดานหนี้สาธารณะ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่อง “กรอบความยั่งยืนทางการคลัง” แต่เรื่องความยั่งยืนทางการคลังสามารถพิจารณาได้หลายมุม โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ยังมีปัจจัยอื่นมาใช้ในการพิจารณาด้วย เช่น แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มีหน้าที่จัดทำ “แผนการคลังระยะปานกลาง” ซึ่งเป็นแผนแม่บทหลักด้านการคลังและงบประมาณ
ทั้งนี้ กำหนดให้รัฐบาลต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามเดือนนับตั้งแต่วันสิ้นปีงบประมาณทุกปี และเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ
แผนการคลังระยะปานกลางมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี และอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
- เป้าหมายและนโยบายการคลัง
- สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ
- สถานะและประมาณการการคลัง ซึ่งรวมถึงประมาณการรายได้ ประมาณการร่ายจ่าย ดุลการคลัง และการจัดการกับดุลการคลัง
- สถานะหนี้สาธารณะของรัฐบาล
- ภาระผูกพันทางการคลังของรัฐบาล