ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. … (ร่าง พ.ร.บ.ประมงฉบับใหม่) ได้แถลงผลการพิจารณาเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 67 ซึ่งขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติฯดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ของรัฐสภาแล้ว โดยถูกบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) ในวันที่ 25 ธ.ค. 67 เวลา 9:00 น. ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร
มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (EJF) ระบุว่าในข้อเสนอให้ยกเลิกกฎระเบียบหลายประการได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ทั้งภาคประชาสังคมไทย นักวิชาการ หน่วยงานรัฐบาล และประชาคมโลก รวมถึงยังสร้างความกังวลอย่างมากในหมู่ผู้ซื้ออาหารทะเลระดับโลก หน่วยงานรัฐบาล และสถาบันต่าง ๆ หากไม่มีมาตรการรับมือที่เข้มแข็ง ข้อเสนอเหล่านี้อาจทำลายความก้าวหน้าที่สั่งสมจากการปฏิรูปการประมงที่ก้าวหน้ามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงทำลายความเชื่อมั่นของประเทศไทยในตลาดอาหารทะเลโลกอีกครั้ง
ขณะเดียวกันการพลิกกลับนโยบายในหลายบทบัญญัตินั้นเป็นการมองเพียงประโยชน์ระยะสั้นและเอื้อประโยชน์แก่ภาคการประมงพาณิชย์อย่างไม่สมส่วน โดยแลกมาด้วยผลกระทบเชิงลบต่อชาวประมงพื้นบ้าน ระบบนิเวศทางทะเลของไทย และสิทธิมนุษยชนของแรงงานในอุตสาหกรรม ในแง่ของนโยบายต่างประเทศ การพลิกกลับนโยบายเหล่านี้จะสร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของอาหารทะเลไทยในระดับนานาชาติอย่างมาก ส่งผลให้ไทยถูกโดดเดี่ยว และผลักให้อุตสาหกรรมล้าหลังไปหลายทศวรรษ ในขณะที่ตลาดโลกและประเทศที่ทำประมงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างมุ่งสู่ความยั่งยืนและการตรวจสอบย้อนกลับที่มากขึ้น
เสียงสะท้อนถึงความโปร่งใส
กระบวนการแก้ไขกฎหมายประมง ควรสะท้อนถึงความเป็นธรรมและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย แต่ผู้แทนจากกลุ่มประมงพื้นบ้านกลับได้รับแจ้งเกี่ยวกับการประชุมครั้งนี้ล่าช้า ไม่ถึง 72 ชั่วโมงก่อนการพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่าประชาชนมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นและแสดงจุดยืนของตนเองอย่างเต็มที่หรือไม่
หลักการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนิติบัญญัติเป็นหัวใจสำคัญของประชาธิปไตยที่โปร่งใสและเป็นธรรม ประชาชนควรได้รับข้อมูลที่เพียงพอและทันเวลาเกี่ยวกับร่างกฎหมาย เพื่อให้สามารถแสดงความคิดเห็นและเสนอข้อปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมช่วยสร้างความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ และลดความขัดแย้งในระยะยาว
นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกิดความรับผิดชอบในกลไกการตัดสินใจของฝ่ายนิติบัญญัติ การไม่เปิดเผยข้อมูลหรือจำกัดเวลาสำหรับการแสดงความคิดเห็นอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิพื้นฐานและสร้างความไม่ไว้วางใจในระบบการปกครอง ในท้ายที่สุด การมีส่วนร่วมของประชาชนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างกฎหมายที่ยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในสังคมทุกระดับ
3 ประเด็นร้อน ประมงพาณิชย์-ประมงพื้นบ้าน-แรงงาน
ในฐานะประเทศที่เคยเผชิญกับปัญหาการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) การปฏิรูปกฎหมายประมงในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ได้ช่วยยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก แต่ข้อเสนอในร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประมงฉบับล่าสุด ที่มีเป้าหมายในการยกเลิกกฎระเบียบสำคัญหลายประการ กลับกลายเป็นประเด็นร้อนที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้แก่
ยกเลิกมาตรการคุ้มครองแรงงานในภาคการแปรรูปอาหารทะเล (มาตรา 10/1, 11, 11/1)
คณะกรรมาธิการได้ลงมติยกเลิกบทบัญญัติสำคัญสามมาตราที่เกี่ยวข้องกับภาคการแปรรูปอาหารทะเลทั้งหมดออกจากพระราชบัญญัติการประมงฉบับใหม่ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่สร้างความเสี่ยงต่อการคุ้มครองแรงงานอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการขจัดแรงงานเด็กในโรงงานแปรรูปกุ้ง ซึ่งสหรัฐฯ เพิ่งจะถอดสินค้ากุ้งไทยออกจากบัญชีเฝ้าระวังสินค้าที่เชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็กเมื่อไม่นานนี้
มาตรา 10/1, 11 และ 11/1 ของพระราชกำหนดมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการคุ้มครองสิทธิของแรงงาน โดยได้กำหนดมาตรฐานสูงเพื่อคุ้มครองผู้ใช้แรงงานในธุรกิจการแปรรูป
- มาตรา 10/1 กำหนดให้ออกใบอนุญาตและกำหนดคุณสมบัติสำหรับผู้ประกอบการแปรรูปอาหารทะเล การยกเลิกบทบัญญัติข้อนี้จะทำให้มาตรฐานเหล่านี้ผ่อนปรนลง เปิดช่องให้ผู้ประกอบการหลีกเลี่ยงเกณฑ์ด้านความปลอดภัย แรงงาน และจริยธรรมที่เข้มงวดได้ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการหลบเลี่ยงกฎหมายและการเอารัดเอาเปรียบในอุตสาหกรรมนี้ได้
- มาตรา 11 ห้ามผู้ประกอบการโรงงานจ้างแรงงานต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้อง โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกพักกิจการและได้รับโทษเพิ่มขึ้น รวมถึงถูกสั่งปิดโรงงานในกรณีที่กระทำความผิดซ้ำ
- มาตรา 11/1 กำหนดบทลงโทษสำหรับการละเมิดการคุ้มครองแรงงานเด็ก โดยเฉพาะการละเมิดข้อกำหนดอายุขั้นต่ำของแรงงานและการเรียกเก็บเงินประกันที่ผิดกฎหมาย โดยสามารถสั่งระงับหรือปิดกิจการในกรณีที่กระทำผิดซ้ำ
ทั้งนี้โรงงานที่อยู่ภายใต้พระราชกำหนดการประมงถือเป็นธุรกิจในด้านการแปรรูปสัตว์น้ำ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมง ธุรกิจส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ตลาดปลาและท่าเรือประมง ทำให้แรงงานในธุรกิจนี้มักเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับการประมงโดยตรง เช่น สมาชิกในครอบครัวของชาวประมง
ในอดีตพบว่ามีการละเมิดสิทธิแรงงานในธุรกิจเหล่านี้อย่างแพร่หลาย โดยแรงงานจำนวนมากมักได้รับการจ้างงานในลักษณะที่ไม่เป็นทางการ ได้รับค่าจ้างตามชิ้นงาน และถูกจ้างเฉพาะในช่วงที่ต้องการเท่านั้น ซึ่งทำให้พวกเขาประสบปัญหาหลายด้าน เช่น ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ มีชั่วโมงการทำงานยาวนาน และไม่ได้รับการลงทะเบียนตามกฎหมาย
การยกเลิกมาตราสำคัญใน พ.ร.บ.ประมงฉบับใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปสัตว์น้ำส่งผลกระทบต่อความพยายามในการต่อสู้กับการใช้แรงงานเด็กและการคุ้มครองแรงงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงอันตราย ข้อกำหนดเฉพาะในพระราชบัญญัติการประมงนั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่โรงงานแปรรูปสัตว์น้ำต้องเผชิญ แตกต่างจากกฎระเบียบด้านแรงงานทั่วไปที่ใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยมีการตรวจสอบและมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันและแก้ไขการละเมิดสิทธิแรงงาน โดยให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการสั่งหยุดการดำเนินงานของโรงงานทันทีที่พบการละเมิด แม้จะอยู่ในระหว่างการสืบสวน
แม้ว่าคณะกรรมาธิการจะมองว่าบทบัญญัติเหล่านี้เป็นการซ้ำซ้อน เนื่องจากมีข้อบังคับอื่น ๆ ที่ดูแลธุรกิจแปรรูปสัตว์น้ำอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริง พระราชบัญญัติโรงงานและพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานยังไม่สามารถทดแทนมาตรการที่จำเป็นในภาคการแปรรูปอาหารทะเลได้อย่างเพียงพอ เนื่องจากกฎหมายเหล่านี้ขาดข้อกำหนดเฉพาะที่จัดการกับปัญหาของอุตสาหกรรมนี้ และกลไกการบังคับใช้ของกฎหมายยังไม่เพียงพอในการรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วซึ่งสำคัญต่อการปกป้องแรงงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงสูง
อนุญาตอวนล้อมจับปั่นไฟจับสัตว์น้ำด้วยอวนตาถี่ (มาตรา 69)
แม้ว่าเครื่องมืออวนลากจะได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มเครื่องมือประมงที่มีการควบคุมอีกครั้งในมาตรา 67 แต่ยังมีข้อยกเว้นที่อนุญาตให้ประมงพื้นบ้านหรือประมงน้ำจืดสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้ ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการใช้เครื่องมือที่อาจทำลายทรัพยากรชายฝั่งอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอวนรุนที่จับสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนในสัดส่วนสูง และเป็นเครื่องมือที่มักถูกลักลอบใช้ในพื้นที่ชายฝั่ง ชาวประมงพื้นบ้านจึงเรียกร้องให้มีการควบคุมเครื่องมือดังกล่าวอย่างเข้มงวดมากขึ้น
ในมาตรา 69 มีการเสนอผ่อนปรนการใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร โดยอนุญาตให้ใช้เครื่องมือดังกล่าวในเขตนอกสิบสองไมล์ทะเลและในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นการผ่อนคลายข้อบังคับการใช้เครื่องมืออวนล้อมจับครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 เมื่อมีการควบคุมเครื่องมือประเภทนี้
การใช้เครื่องมืออวนล้อมจับในเวลากลางคืนนั้นมักประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้แสงไฟล่อสัตว์น้ำให้เข้ามารวมกันก่อนใช้อวนจับ ซึ่งจะทำให้สัตว์น้ำหลายชนิดและหลายช่วงวัย รวมถึงสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่ยังไม่โตเต็มวัยถูกจับขึ้นมาพร้อมกัน ส่งผลเสียต่อประชากรสัตว์น้ำในระยะยาว และทำลายห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศ
แม้ว่าคณะกรรมาธิการจะระบุว่าเครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนถี่สามารถใช้ในพื้นที่นอกเขตสิบสองไมล์ทะเล แต่การใช้เครื่องมือดังกล่าวยังคงทำลายสัตว์น้ำวัยอ่อนได้ทุกพื้นที่ รวมถึงพื้นที่ชายฝั่งซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำและแหล่งทำกินสำคัญของประมงพื้นบ้าน แม้ว่าจะมีการพยายามกำหนดหลักเกณฑ์ในการควบคุมการใช้แสงไฟล่อสัตว์น้ำในประกาศของรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการตรวจสอบและบังคับใช้ของหน่วยงานภาครัฐในการป้องกันการทำลายล้างทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่เหล่านี้
อนุญาตการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลระหว่างเรือประมงได้อีกครั้ง (มาตรา 85/1)
คณะกรรมาธิการได้ลงมติให้มีการผ่อนคลายข้อห้ามเกี่ยวกับการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลระหว่างเรือประมง โดยให้สิทธิอำนาจแก่อธิบดีกรมประมงในการกำหนดเกณฑ์และขั้นตอนสำหรับการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเล การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ครอบคลุมเรือที่ลงทะเบียนเป็นเรือขนถ่ายสินค้าเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงเรือประมงทั่วไปที่ปฏิบัติตามคำสั่งของอธิบดีด้วย
ตามคำชี้แจงของกรมประมง การขนถ่ายสัตว์น้ำภายใต้กฎระเบียบปัจจุบันจำกัดเฉพาะเรือที่ลงทะเบียนเป็นเรือขนถ่ายสัตว์น้ำ ดังนั้น การแก้ไขครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับชาวประมง โดยอนุญาตให้เรือประมงทั่วไปสามารถลงทะเบียนเป็นเรือขนถ่ายสัตว์น้ำได้
การยกเลิกข้อห้ามนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลไทยได้สั่งห้ามการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจทำให้สัตว์น้ำที่ถูกจับผิดกฎหมายถูกผสมกับสัตว์น้ำจากแหล่งที่ถูกกฎหมาย ซึ่งทำให้การตรวจสอบย้อนกลับทำได้ยากขึ้นและขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการประมง การอนุญาตให้ขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลอีกครั้งจะเพิ่มความยากในการติดตามห่วงโซ่อุปทานและการตรวจสอบประมงที่ผิดกฎหมาย รวมถึงลดประสิทธิภาพในการตรวจสอบสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ของลูกเรือ
การอนุญาตให้เรือประมงทุกประเภทขึ้นทะเบียนเป็นเรือขนถ่ายสัตว์น้ำจะทำให้การตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปได้ยากขึ้น แม้จะมีการกำหนดขั้นตอนการขออนุญาตในประกาศใหม่ของอธิบดีกรมประมง ภาคประชาสังคมยังคงกังวลว่าการผ่อนคลายข้อบังคับนี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการตรวจสอบย้อนกลับในห่วงโซ่อุปทาน และอาจส่งผลกระทบเชิงลบมากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่อุตสาหกรรมการประมงจะได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริษัทอาหารทะเลรายใหญ่หลายแห่ง ที่มีจรรยาบรรณให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและการจัดหาทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ
ผลกระทบการค้าโลก
การเปลี่ยนแปลงในร่างกฎหมายนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชาวประมงและชุมชนชายฝั่ง แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ ด้วยความกังวลจากพันธมิตรทางการค้าและตลาดสากลที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและสิทธิมนุษยชน การตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกฎหมายนี้จะเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของไทยในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ผู้ร่างกฎหมายจำเป็นต้องเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้กฎหมายที่ตอบสนองต่อความต้องการของทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม การประชุมในวันพรุ่งนี้ 25 ธ.ค. 67 จึงไม่ได้เป็นเพียงการลงมติในรัฐสภา แต่ยังเป็นการกำหนดทิศทางของประเทศไทยในเวทีโลกว่าจะเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนและสิทธิมนุษยชน หรือถอยหลังเข้าสู่ความล้าหลังอีกครั้ง
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติม