จากกรณีนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ประกาศเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2568 เรื่องปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระแห่งอาเซียนที่ทุกประเทศต้องร่วมกันแก้ไข เนื่องจากปัญหาฝุ่นโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ มีสาเหตุมาจากการเผาข้ามพรมแดน ขณะที่ Rocket Media Lab สำรวจความร่วมมือของประเทศอาเซียนในการแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดนว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไร ในปัจจุบันมีความคืบหน้าแค่ไหน และทำไมถึงยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้สักที พบว่า 30 ปี นับตั้งแต่รัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา มาจนถึง รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่ประเทศไทยได้ร่วมทำข้อตลกในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนมาต่อเนื่อง แต่กลับไม่ประสบผลสำเร็จ พร้อมสรุปว่า มาตรการที่ประเทศไทยใช้เพื่อพยายามจะแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดนอยู่ในปัจจุบันนี้จึงเป็นเพียงมาตรการ ‘ปรึกษาหารือ’ ผ่านกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น
Policy Watch ชวนวิเคราะห์เหตุผลวิเคราะห์ทำไม ข้อตกลงอาเซียนแก้ฝุ่นไม่สำเร็จ ? แล้วพอจะมีทางไหนที่จะแก้ฝุ่นข้ามแดนได้บ้าง กับ สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย
สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า ในช่วงเดือนเดือนกุมภาพันธ์ยาวจนถึงเดือนมีนาคม พื้นที่ภาคเหนือ จะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพด ซึ่งที่ผ่านมามีการเผาตอซัง วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อเตรียมแปลงใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่สูงที่เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ไถกลบเข้าไปไม่ถึง ซึ่งไม่เพียงเฉพาะฝุ่นในประเทศ แต่ยังมีฝุ่นข้ามแดนที่พัดเข้ามา
ปัญหาหมอกควันข้ามแดน เกิดขึ้นมานานหลายสิบปี และมีความพยายามร่วมมือระหว่างอาเซียน เมื่อ 30 ก่อน โดยอ้างถึง ช่วงที่ บรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงปี 2538 เกิด ร่างแผนปฏิบัติการหมอกควันระดับภูมิภาค (RHAP) เพื่อสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ที่ต้องประชุมทุก ๆ 2 ปี ต่อมามีการประชุมปี 2545 โดยนายกรัฐมนตรี คือ ทักษิณ ชินวัตร มีข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution: AATHP) มีเป้าหมาย คือ อาเซียนปลอดหมอกควันภายในปี 2563 ซึ่งที่ผ่านมายังเห็นว่าฝุ่นไม่หมดไป ต่อมา ปี 2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้จัดทำโรดแมปอาเซียนปลอดหมอกควันเพื่อให้อาเซียนปลอดจากหมอกควันภายในปี 2563 และต่อมา ปี 2560 มีการจัดทำแผนปฏิบัติการเชียงราย (Chiang Rai 2017 Plan of Action) เพื่อป้องกันมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม ลาว เมียนมา และกัมพูชา ในอนุภูมิภาคแม่โขง ภายในปี 2563 จุดความร้อนทั้ง 5 ประเทศต้องต่ำกว่า 50,000 จุด ซึ่งยังทำไม่สำเร็จเช่นกัน
ในยุครัฐบาลของพรรคเพื่อไทย เศรษฐา ทวีสิน ปี 2567 มีข้อตกลงอาเซียนครั้งที่ 2 เปิดตัวแผน Second ASEAN Haze-Free Roadmap (2566-2573) แต่จนถึงขณะนี้ ก็ยังมีปัญหาอยู่ทั้ง ๆ และจุดความร้อนในอาเซียนก็ยังเพิ่มขึ้น มาถึงรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ที่ประกาศให้เรื่องฝุ่น เป็นวาระอาเซียน และมี ความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมา ระหว่างปี 2567-2573 ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) โดยมีเป้าหมายลดจุดความร้อน แก้ไข
สนธิ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 30 ปีที่ผ่านมา คือความร่วมมือที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ ‘ข้อตกลง’ ในอาเซียน 10 ประเทศ หรือที่เรียกว่า MOU ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย ทำให้ไม่มีการเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหา
“เช่น เราได้รับหมอกควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้านทางเหนือ สิ่งที่ตามมาคือว่า เราจะต้องใช้วิธีการแจ้งไปที่เลขาธิการอาเซียน แล้วเลขาธิการอาเซียนก็ไปบอกกับประเทศที่ก่อกำเนิดให้จัดการแก้ไข ซึ่งมันเพียงข้อตกลงเขาจะไม่ทำก็ได้”
โดยยกตัวอย่างการจัดการปัญหาของสหภาพยุโรปว่าใน 27 ประเทศสมาชิก ในสภาของสหภาพยุโรปมีการร่วมออกกฎหมายที่นำมาใช้ร่วมกัน ไม่ใช่เป็นเพียงข้อตกลง ทำให้ไม่เกิดปัญหาในการบังคับใช้
แนะออกกฎระเบียบ กีดกันสินค้าที่มาจากการเผา
สนธิ ชี้ว่า สิ่งสำคัญคือประเทศไทยมีความต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ประมาณ 8 ล้านตันต่อปี แต่สามารถปลูกภายในประเทศได้เพียงปีละประมาณ 4.8 ถึง 5 ล้านตัน ทำให้จำเป็นต้องมีการนำเข้า จากต่างประเทศ อย่าง สปป.ลาว เมียนมา และ กัมพูชา โดยเมื่อปี 2566 นำเข้า ประมาณ 1.33 ล้านตัน
ปี 2567 นำเข้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านตัน และภายใต้ ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) ที่เป็นพันธสัญญาร่วมกัน โดยผู้ที่นำเข้า ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า
“สมมติว่าเราไปซื้อข้าวโพดจากเมียนมา เอาเข้ามาประเทศไทย ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า เพราะฉะนั้นจึงทำให้สินค้าของเราราคาถูก ราคาถูกเหมาะกับการเลี้ยงสัตว์ที่ว่าได้เปรียบคู่แข่ง แล้วก็แล้วขนส่งก็ง่าย ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน เพราะว่า พอไม่เสียภาษีการกดดันก็ยาก สิ่งที่สำคัญ คือ ในปี 2568 ยังคงมี ข้อตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ภาษี 0% อยู่”
สนธิ กล่าวว่า นายทุนจากประเทศไทย ไปลงทุนให้เกษตรกรปลูกอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปลูกอยู่ประมาณ 2 ล้านไร่ อย่างที่เมียนมา จะอยู่ที่รัฐฉานจำนวนมาก แต่เมื่อซื้อข้าวโพดกลับมา นำกลับมาเพียงแค่เมล็ด แต่ทิ้ง “ตอซัง” ไว้ เกษตรกรผู้ปลูกก็ต้องทำการเผา ซึ่งจะเริ่มช่วงกุมภาพันธ์ของทุกปี และประมาณต้นเดือนมีนาคม จะเกิด ‘สภาพอากาศปิด’ ที่ทำให้เหมือนมีฝาชีครอบ ทำให้ควันจากการเผาของเกษตรกร ลอยมาปกคลุมอยู่ที่ภาคเหนือของไทย เนื่องจากลมพัดมาที่ประเทศไทยพอดี
โดยมีข้อเสนอเพื่อควบคุมการเผาที่เกิดขึ้นจากการรับซื้อข้าวโพดด้วย ‘ประกาศกระทรวง’ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ของไทย ออกประกาศกระทรวงเพิ่มเงื่อนไข เรื่องการเผาในพื้นที่เกษตรหรือพื้นที่ป่า สำหรับสินค้าที่จะนำเข้า
“คือพูดง่าย ๆ ก็คือ กีดกันไม่รับซื้อสินค้าที่พิสูจน์ได้ว่ามาจากการเผา ไปออกประกาศเลย พิสูจน์ได้โดยใช้ดาวเทียม ถ้าดาวเทียมเห็นว่าพื้นที่ตรงไหนมีการเผาจากเพื่อนบ้าน พื้นที่นั้นจะไม่ถูกรับซื้อ”
สิงคโปร์ ตัวอย่างจัดการฝุ่นข้ามแดนที่ต้นตอ
สนธิ เสนออีกว่า ควรออกกฎหมายบทลงโทษ ‘ผู้ประกอบการ’ โดยระบุว่านิติบุคคลใดที่ไปลงทุนที่ประเทศต่างประเทศ แล้วทำให้เกิดการเผา และเกิดหมอกควันอย่างจะต้องถูกลงโทษ โดยยกตัวอย่าง ประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงประมาณปี 2545 – 2548 เกิดหมอกควันข้ามแดน จากอินโดนีเซีย พัดข้ามมาที่ภาคใต้ของประเทศไทย แล้วลอยไปที่สิงคโปร์ ทำให้เกิดหมอกควัน PM 2.5 เต็มไปหมด ประเทศได้รับผลกระทบอย่างมาก มีผู้ป่วยกว่า 3 แสนคน เมื่อไปดูสาเหตุ พบว่า ที่เกาะสุมาตรา มีการปลูกปาล์มน้ำมันที่มีการเผา และเมื่อดูผู้ลงทุน พบว่า เป็นนายทุนของสิงคโปร์นั่นเอง จึงออกกฎหมายว่า หากบริษัทของสิงคโปร์ไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วทำให้เกิดปัญหาหมอกควัน จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย คือ ปรับ 1 แสนดอลลาร์ ต่อวัน หรือปรับสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านดอลลาร์ หลังจากนั้นสิงคโปรก็ไม่มีหมอกควันเข้ามาอีกเลย
“นี่คือแผนระยะยาว แต่ในระยะสั้นเราจะต้องให้คนของเรา ที่ไปลงทุนจะต้องให้ความรู้ พร้อมให้เงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไขไปสู่การเผาในโล่ง”
อีกส่วนที่สำคัญคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ควรออกกฎบังคับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ให้เปิดเผยข้อมูลเรื่องสิทธิด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี ว่าสินค้ามาจากการเผาหรือไม่ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะต้องรีบดำเนินการตามแผนปฏิบัติการร่วมมือในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน 10 ประเทศ โดยเฉพาะการรายงานจุดความร้อนว่าเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพอากาศหรือไม่
ส่วนการเผาที่มาจากเกษตรกรภายในประเทศ สนธิ เสนอว่า ก่อนที่ธนาคารจะให้สินเชื่อกับเอกชน หรือเกษตรกรจะต้องมีเงื่อนไขห้ามเผาวัสดุที่ใช้ในการเกษตร
“แต่ละหน่วยงาน แต่ละกระทรวงสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ก่อนโดยไม่ต้องรอ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ”
แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ เป็นแค่เสือกระดาษ
สนธิ กล่าวถึง กรณีที่ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้เห็นชอบ ร่าง แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568-2570 และระยะ 5 ปีต่อไป เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ซึ่งหากย้อนดูข้อมูล จะพบว่า แผนเดิมคือ แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง พ.ศ 2562 – 2567 ที่สิ้นสุดไปแล้ว แต่กลับพบว่ามีหลายประเด็นที่กระทรวงต่าง ๆ รับภารกิจไปแล้วแต่ยังทำไม่สำเร็จ เช่น เปลี่ยนรถที่ใช้ในราชการเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด รถเครื่องยนต์ดีเซลต้องติดเครื่องกรองฝุ่น องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จะต้องเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด นำเข้ารถ EV ขายในราคาถูก การห้ามเผาในพื้นที่เกษตร ห้ามโรงนำรับซื้ออ้อยที่มาจากการเผา 100% ในปี 2566 แต่ปี 2567 ยังพบว่ามีอ้อยเผาเข้าโรงงาน 25%
“แสดงว่าของเก่าที่ผ่านมาแล้วยังไม่ได้ทำ ตอนนี้พอมาออกแผนใหม่ ผมว่าต้องดูให้ดีว่ากระทรวงทบวง กรม ไปทำหรือเปล่า และเมื่อเป็นวาระแห่งชาติ ท่านนายกรัฐมนตรีจะต้องมีหน่วยงานกำกับกระทรวงทั้งหลายว่าจะต้องทำตามมติทั้งหมด ตอนนี้เรามีคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีกระทรวงทรัพยฯ ดูแล แต่สุดท้ายเป็นเพียงแค่เสือกระดาษ เป็นแค่เพียงแค่ผู้ประสานงาน เขาไม่ทำ ก็ไม่เห็นทำอะไร”
สนธิ กล่าวว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีหน้าที่คอยติดตาม ตรวจสอบ กำกับ ดูแล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าปฏิบัติตามแผนหรือไม่ ทำให้เกิดคำถามว่า การเห็นชอบในร่างฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ขณะที่แผนเดิมยังไม่สามารถทำได้สำเร็จตามเป้าหมาย นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผู้ออกคําสั่งดําเนินการจะว่าอย่างไร ซึ่งส่วนตัวมองว่า “ล้มเหลว” เพราะว่าปี 2568 ค่าฝุ่นกลับมาสูงมากกว่าหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา
พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ล่าช้า เพราะติดปัญหา กองทุนฯ ?
การจะแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาว ความหวังอยู่ที่ พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … หรือ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ซึ่งปัจจุบันยังคงอยู่ในกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ หลังผ่านเข้าสภาฯ ไปแล้ว 1 ปีเต็ม สนธิ มองว่า ข้อดีหากมี พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ คือ จะมีเจ้าภาพที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ มีคณะกรรมการที่จะคอยติดตาม ตรวจสอบการดำเนินการ และยังสามารถจัดการได้ถึงแห่งกำเนิดฝุ่นทุกแหล่ง
สิ่งสำคัญคือ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ จะมี ‘กองทุนอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ’ ที่จะสามารถนำเงินในกองทุนไปชดเชย เยียวยา กรณีผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งมีคนตั้งคำถามถึงความล่าช้าที่เกิดขึ้น มองว่า อาจจะติดปัญหาตรงเครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ ที่มีการเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม เข้ากองทุนอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ ซึ่งถูกตั้งคำถามอย่างมากจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“คือว่าจะเก็บทุกแหล่งกําเนิด ตอนนี้ก็มีกลุ่มทุน บอกว่า เขาไม่ได้ปล่อยเกินมาตรฐาน เขาเป็นคนดี ทำไมมาเก็บเงินเขา ปล่อยมาก ปล่อยน้อยเก็บหมด เขาอ้างว่าในเมื่อมันมีมาตรฐานกระทรวงอุตสาหกรรม มาตรฐานกระทรวงทรัพยฯ อยู่ เขาปล่อยไม่เกินมาตรฐานมาเก็บเงินเขาได้อย่างไร เขาก็แย้งกันตรงนี้ เพราะถ้าเก็บต้นทุนก็จะสูง ราคาสินค้าจะแพงขายไม่ได้ ตรงนี้ยังทะเลาะกันอยู่มีคนไม่เห็นด้วย เข้าใจว่าทางสภาอุตสาหกรรม หรือ ทางหน่วยงานทางการค้าทำหนังสือแจ้งไปว่าไม่เห็นด้วย”