คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน (Global Warming)
Greenhouse Gases ก๊าซเรือนกระจก หมายถึง ก๊าซที่มีคุณสมบัติในการดูดซับคลื่นรังสีความร้อนหรือ รังสีอินฟาเรดได้ดี เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ สารอีเอฟซี เป็นต้น ซึ่งเมื่อก๊าซเหล่านี้ลอยขึ้นสู่บรรยากาศจะดูดซับความร้อนไว้ และถ้ามีปริมาณที่เหมาะสมจะรักษาอุณหภูมิโลกให้พอเหมาะอุ่นสบาย แต่เมื่อใดที่ก๊าซเหล่านี้มีปริมาณมากเกินไป จะส่งผลให้ชั้นบรรยากาศมีการกักเก็บรังสีความร้อนไว้มากขึ้น ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น ทำให้ร้อนมากขึ้น
ก๊าซเหล่านี้เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยเฉพาะการเผาไหม้เชื้อเพลิง จึงทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศมากที่สุด และก๊าซที่ควรเฝ้าระวังต่อมาคือ ก๊าซมีเทน ที่เกิดจากการเน่าสลายของสารอินทรีย์และจากมูลสัตว์ ส่วนสารซีเอฟซีที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกและการทำความเย็นก็ก่อผลมิใช่น้อยเช่นกัน เพราะนอกจากจะดูดความร้อนไว้ในบรรยากาศโลกแล้ว ยังไปทำ ลายชั้นโอโซนให้บางลงด้วย ซึ่งในชั้นโอโซนมีหน้าที่ในการกรองรังสีอันตราย เช่น รังสียูวี
Greenhouse Effect ปรากฎการณ์เรือนกระจก หมายถึง ปรากฏการณ์ที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเนื่องจากการรวมตัวกันอย่างหนาแน่นของก๊าซเรือนกระจกที่ดูดความร้อนเอาไว้ไม่ให้สะท้อนออกไป เราสามารถเปรียบปรากฏการณ์นี้ได้กับการจอดรถไว้กลางแจ้ง โดยที่ปิดหน้าต่างทุกบานให้สนิท และแสงอาทิตย์จะสาดส่องเข้ามาภายในรถได้ ส่วนบรรดาเบาะนั่งทั้งหลายเปรียบได้กับอาคารสิ่งก่อสร้างนั้น จะดูดซับเอาความร้อนไว้และไม่สามารถปล่อยหรือสะท้อนความร้อนให้หลุดลอดผ่านออกไปได้ ทำให้อากาศภายในรถร้อน ตราบใดที่เรายังไม่เปิดกระจก อุณหภูมิภายในรถจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับโลกของเราที่เก็บความร้อนไว้แล้วไม่สามารถปล่อยความร้อนกลับออกไปได้ จะทำให้อุณหภูมิผิวโลกสูงขึ้น
Global Warming ภาวะโลกร้อน หมายถึง การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นอากาศบริเวณใกล้ผิวโลกและน้ำ ในมหาสมุทร เนื่องมาจากมลภาวะในอากาศ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศนั่นเอง
คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
Climate Change การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายถึง การที่สภาพภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว เป็นผลมาจากปรากฏการณ์โลกร้อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ความถี่และความรุนแรงของการเกิดพายุ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล
Climate Impact ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อะไรคือ…ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ?
สภาพอากาศรุนแรงที่เกิดมากขึ้น เช่น ความแห้งแล้ง อุทกภัยพายุและอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อสังคมและเศรษฐกิจ
- ฤดูกาลและปริมาณน้ำฝนเปลี่ยนแปลง ฝนที่ตกหนักและมากขึ้นจะทำให้เกิดอุทกภัย ส่วนการทิ้งช่วงของฝนที่นานจะทำให้เกิดภัยแล้งและขาดแคลน
- ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อโลกร้อนขึ้นจะเพิ่มการละลายของธารน้ำแข็ง เช่น แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และภูเขาน้ำแข็งในทะเล ซึ่งการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำ ทะเลจะทำให้เกิดการปนเปื้อนแหล่งน้ำ จืดทั้งพื้นผิวดินและใต้ดิน รวมทั้งการเกิดการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชุมชนริมฝั่งทะเล พื้นที่การเกษตร แหล่งน้ำ จืดริมฝั่ง รวมถึงประเทศที่เป็นเกาะกลางมหาสมุทรหรือทะเลอาจตกอยู่ในอันตราย
- ทั้งนี้ ระดับความรุนแรงของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะแตกต่างกันตามสภาพทางภูมิศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร
Climate สภาพภูมิอากาศ หมายถึง ค่าเฉลี่ยของปัจจัยภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝนในช่วงระยะเวลาอย่างน้อย 30 ปี
Weather สภาพลมฟ้าอากาศ หมายถึง สภาพของอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือในอนาคตอันใกล้ เช่น วันนี้ฝนตก พรุ่งนี้อากาศร้อน สัปดาห์หน้าอากาศหนาว เป็นต้น…
Forecast (Weather Forecast) การพยากรณ์อากาศ หมายถึง การทำนายสภาพอากาศในระยะสั้น โดยเป็นการพยากรณ์ล่วงหน้าเพื่อให้ประชาชนทราบเป็นประจำ ทุกวัน ซึ่งหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบการพยากรณ์อากาศในประเทศไทย ได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา (Thai Meteorological Department)
Projection (Climate Projection) การคาดการณ์สถานการณ์ หรือแนวโน้มในอนาคต หมายถึง การคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ หรือแนวโน้มสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งเป็นการคาดการณ์ที่ได้ผ่านกระบวนการศึกษามาแล้ว เช่น การคาดการณ์สภาพภูมิอากาศในอนาคต (Climate Projection)
Climate Model แบบจำลองภูมิอากาศ หมายถึง แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ข้อมูลต่างๆ ทางด้านอุตุนิยมวิทยา เช่น ข้อมูลอุณหภูมิ ข้อมูลปริมาณน้ำฝน และอื่นๆ มาวิเคราะห์ เพื่อสร้างสภาพเหตุการณ์ภูมิอากาศในอนาคต ซึ่งมี 2 ระดับ ได้แก่
- แบบจำ ลองภูมิอากาศโลก เช่น ECHAM 4
- แบบจำ ลองภูมิอากาศระดับภูมิภาค เช่น PRECI
Climate Scenario ภาพจำลองภูมิอากาศในอนาคต หมายถึง ภาพจำลองภูมิอากาศตามการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลจากแบบจำลอง การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต (Emission Scenarios) โดยเหตุการณ์จำ ลองเหล่านี้มีความต่างกันที่สมมุติฐานเกี่ยวกับการพัฒนาของเศรษฐกิจ สังคม การเติบโตของประชากร และเทคโนโลยี
ภาพจำลองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต แบ่งเป็น 2 แบบหลัก ได้แก่
- แบบ A ให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
- แบบ B ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าการพัฒนา
Climate Risk ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายถึง ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์และระดับของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Uncertainty ความไม่แน่นอน หมายถึง การไม่สามารถบอกได้แน่นอนหรือแบบชี้ชัดได้ว่า ณ ปีใดปีหนึ่งในอนาคต หรือ ณ สถานที่ใดที่หนึ่ง สภาพภูมิอากาศจะเปลี่ยนไปอย่างไร
Climate Vulnerability ความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายถึง การที่บุคคล ชุมชน เมืองหรือระบบ มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบและมีความอ่อนไหวสูง ตลอดจนมีความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระดับต่ำ
Vulnerability Assessment การประเมินความเปราะบาง หมายถึง การประเมินความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้เกิดความเข้าใจในสภาพปัญหาและความต้องการต่าง ๆ โดยพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมทางด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจและสภาวะแวดล้อม
(Climate) Adaptation หมายถึง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วิถีชีวิต และสิ่งแวดล้อมเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ภายใต้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต การสร้างมาตรการป้องกันภัยพิบัติหรือสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าการเตรียมรับมือกับปัญหาความมั่นคงทางอาหาร เป็นต้น
(Climate) Maladaptation การปรับตัวที่ไม่เหมาะสม ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายถึง การปรับตัวที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและไม่สามารถดำ เนินการได้อย่างยั่งยืน เช่น การปรับตัวของชุมชนหนึ่งแต่ไปส่งผลกระทบให้กับอีกชุมชนหนึ่ง มีผลกระทบ/ความเปราะบางเพิ่มมากขึ้น
(Climate) Resilience การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายถึง ความสามารถในการปรับฟื้นตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นให้สามารถกลับมาทำหน้าที่สู่ภาวะปกติภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และยังหมายรวมถึงการเรียนรู้และนำ บทเรียนจากการปรับฟื้นตัวในอดีตมาจัดการกับผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีขึ้นอีกด้วย
(Climate) Resilience Strategy ยุทธศาสตร์การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายถึง แผนและแนวทางในการบริหารจัดการ ความเสี่ยงหรือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สามารถนำ ไปใช้ปฏิบัติเพื่อให้เกิดการรับมือ โดยอาศัยทรัพยากรและระบบต่าง ๆ ที่มีอยู่เช่น ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ระบบโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ระบบเศรษฐกิจ ระบบการบริหารจัดการต่าง ๆ องค์ความรู้ต่าง ๆ ชุมชนและหน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ เป็นต้น
Resilience Indicator ตัวชี้วัดความสามารถในการรับมือ หมายถึง สิ่งที่สามารถระบุได้ว่าบุคคล ชุมชน เมือง หรือระบบ มีความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิม ซึ่งตัวชี้วัดความสามารถในการรับมือ ควรมีลักษณะ ดังนี้
- เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน
- สามารถวัดได้
- สามารถนำไปปฏิบัติได้
- มีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่ต้องการวัด
- มีพลวัตร สามารถปรับเปลี่ยนได้
- ชัดเจน ไม่กำกวม
คำศัพท์เกี่ยวกับกรอบแนวคิดการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilience Framework)
จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบเครื่องมือในการดำ เนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพการรับมือของเมืองกรอบแนวคิดดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
- ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของความเปราะบาง (Understanding Vulnerability)
- การสร้างการรับมือ (Building Resilience)
ทั้งสองส่วนต่างมีความเชื่อมโยงกันโดยการนำ องค์ความรู้ท้องถิ่น (Local Knowledge) มาประสานกับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Knowledge) ผ่านกระบวนการการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Shared Learning Dialogue) เพื่อนำมาซึ่งยุทธศาสตร์การรับมือ (Resilience Strategy) ของเมือง
จากแผนภาพวงกลมด้านซ้าย (ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของความเปราะบาง หรือ Understanding Vulnerability) จะช่วยไขข้อข้องใจในเรื่องปัจจัยที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการวิเคราะห์ความเปราะบางอย่างเป็นระบบแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างทุกภาคส่วนและการเปิดรับความเสี่ยงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งระดับความเปราะบางของแต่ละพื้นที่จะมีความสัมพันธ์ของ 3 ปัจจัย ดังนี้
กล่าวคือ พื้นที่หนึ่ง (รวมทั้งระบบและทุกภาคส่วน) จะมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไรขึ้นอยู่กับ exposure หรือ การเปิดรับ ซึ่งก็คือโอกาสที่จะได้รับผลกระทบหรือความเสี่ยงนั้นๆ แต่การเปิดรับเพียงอย่างเดียวยังไม่เป็นตัวกำหนดว่าพื้นที่นั้นจะมีความเปราะบางเสมอไป เพราะยังมีปัจจัยอื่นมากำหนดอีก นั่นคือ Sensitivity หรือ ความอ่อนไหวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นปัจจัยภายในของระบบหรือภาคส่วน
ยกตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ริมน้ำ ที่มีน้ำ ท่วมถึง ทุกบ้านจะมีโอกาสเปิดรับกับน้ำ ท่วมอย่างเท่า ๆ กัน แต่บ้านหลังหนึ่งที่มีสมาชิกเป็นเด็กและคนชราจะมีความอ่อนไหวต่อผลกระทบมากกว่าบ้านที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน ส่วนบ้านที่ปลูกแบบมีเสาสูงจะมีความสามารถในการปรับต่อน้ำ ท่วมมากกว่าบ้านที่ปลูกติดพื้น เป็นต้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่า บุคคล ระบบ หรือภาคส่วน จะมีการเปิดรับและมีความอ่อนไหวสูง แต่ก็ไม่จำ เป็นที่ว่าจะต้องมีความเปราะบางสูงเสมอไป เพราะขึ้นอยู่กับว่าระบบหรือภาคส่วนนั้น ๆ มี Adaptive Capacity หรือ ความสามารถในการปรับตัวเพื่อลดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้มากน้องเพียงใดด้วย ทั้งนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้ระบบหรือภาคส่วนมีความเปราะบาง มากขึ้นด้วย เช่น ปัจจัยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสังคม จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เป็นต้น
ส่วนแผนภาพวงกลมด้านขวา (การสร้างการรับมือ หรือ Building Resilience) แสดงให้เห็นถึงกรอบสนับสนุนการวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อสร้างศักยภาพในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยวิธีการและแนวทางใหม่ ๆ ที่นำไปสู่การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
กล่าวคือ เมือง จะต้องประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่
- Agents (บุคคล องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)
- Systems (ระบบต่างๆ ของเมือง)
- Institutions (วิถีปฏิบัติอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ รวมไปถึงธรรมเนียม นโยบาย กฎหมายและข้อบังคับ)
และการที่เมืองจะเกิดศักยภาพในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้นั้น ระบบและทุกภาคส่วนจะต้องประกอบไปด้วยคุณลักษณะใดบ้างนั้น ได้ให้คำอธิบายไว้ในส่วนถัดไป…
Agents บุคคล/องค์กร/หน่วยงาน หมายถึง ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมีความแตกต่างกันออกไปตามระบบต่างๆ ซึ่งอาจเป็นระดับบุคคล, องค์กร, หรือกลุ่ม เช่น
- ผู้บริหารในระดับต่างๆ เช่น ระดับจังหวัด, เมือง, องค์กร,ศูนย์, สถานี
- เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการในระบบต่างๆ ของเมือง เช่น ระบบประปา/เจ้าหน้าที่ประปา เจ้าหน้าที่ชลประทาน ระบบสาธารณสุข/เจ้าหน้าที่สาธารณสุข, พยาบาล
- ครัวเรือน
- เอกชน บริษัทต่างๆ
- องค์กรประชาสังคมต่าง ๆ
และเมืองที่จะมีการรับมือที่ดีนั้น Agents จะต้องประกอบไปด้วยคุณลักษณะ ดังนี้
Responsiveness หมายถึง การตอบสนอง กล่าวคือ การที่ Agents สามารถปฏิบัติงานหรือกลับมาทำหน้าที่ของตนได้ภายใต้ระยะเวลาอันสั้นหลังจากเกิดภัยรวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กรด้วย
Learn หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ กล่าวคือ การที่ Agents สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตและนำมาปรับปรุงให้เกิดการรับมือที่ดีขึ้น ทำให้สามารถแยกแยะปัญหา คาดการณ์ และวางแผนการรับมือล่วงหน้าได้
Resourcefulness หมายถึง ทรัพยากรของหน่วยงาน กล่าวคือ การที่ Agents สามารถแยกแยะ และจัดลำดับความสำคัญของการดำ เนินงานต่างๆ รวมถึงความสามารถในการระดมทรัพยากรที่จำเป็นในยามเกิดภัยทั้งจากภายใน หน่วยงานของตนเอง หรือจากหน่วยงานอื่นๆ
Systems ระบบต่างๆ ของเมือง หมายถึง เมืองประกอบไปด้วยองค์ประกอบย่อยซึ่งก็คือระบบต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่น
- Ecosystems คือ ระบบนิเวศ
- Infrastructure Systems คือ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน
- Public Health คือ ระบบสาธารณสุข
- Knowledge คือ องค์ความรู้ต่างๆ
- ระบบบริหารจัดการน้ำ
- ระบบเตือนภัย
และเมืองที่จะมีการรับมือที่ดีนั้น
Systems จะต้องประกอบไปด้วยคุณลักษณะดังนี้
Safe Failure หมายถึง ความผิดพลาดที่ปลอดภัย กล่าวคือ แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำ ให้ระบบไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ระบบก็ยังมีความปลอดภัยเพียงพอ ยังสามารถทำหน้าที่และรักษาสภาพปกติของเมืองไว้ได้
Flexibility & Diversity หมายถึง ความยืดหยุ่นและความหลากหลาย กล่าวคือ ความสามารถของระบบในการจัดสรรทรัพยากรและให้บริการเพื่อสนองความต้องการของประชากรเมือง
Modularity & Redundancy หมายถึง การมีแนวทางหรือการสำรองทรัพยากรเพื่อใช้ดำเนินการ กล่าวคือ ความสามารถในการสำรองทรัพยากรไว้ใช้หรือการมีวิธีการทำงานหลายแนวทางทำ ให้สามารถเลือกใช้ได้ในยามที่เผชิญกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และยังหมายรวมถึงการแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อยๆ ที่แต่ละส่วนเป็นอิสระต่อกันแต่สามารถนำมารวมกันเป็นระบบใหญ่ได
Institutions วิถีปฏิบัติ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ หมายถึง ธรรมเนียม นโยบาย แผน ข้อบังคับ กฎหมาย กฎระเบียบ แนวคิด ประเพณี และความเชื่อท้องถิ่น ที่เป็นหลักในการทำงาน หรือแนวทางการปฏิบัติที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถนำไปใช้ดำเนินการในระบบ และดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ได้
และเมืองที่จะมีการรับมือที่ดีนั้น
Institutions จะต้องประกอบไปด้วยคุณลักษณะดังนี้
Information หมายถึง ข้อมูล
กล่าวคือ การมีข้อมูลที่จำเป็นและสามารถเข้าถึงได้เพื่อให้เกิดการวางแผนการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดทางเลือกในการรับมือและปรับตัว
Access (Rights/Entitlements) หมายถึง การเข้าถึง (สิทธิ/ความเป็นเจ้าของ)
กล่าวคือ การพิจารณาว่าใครมีการเข้าถึงหรือมีสิทธิ (ใช้, จัดสรรทรัพยากร, อำนาจหน้าที่ในการจัดการ) ในระบบนั้นๆ อย่างไร Decision-Making หมายถึง กระบวนการตัดสินใจ กล่าวคือ ขั้นตอนในการตัดสินใจกระทำ หรือดำ เนินการใด ๆ มีความโปร่งใสเป็นสิ่งที่มาจากความต้องการจริงๆ สามารถอธิบายและชี้แจงได้มีการรับฟังและรวบรวมข้อมูลจากภาคส่วนต่างๆ ก่อนตัดสินและการตัดสินใจเป็นไปอย่างความยุติธรรม
องค์กรที่เกี่ยวข้องด้านภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Organisations Involved in Global Warming & Climate Change)
IPCC: Intergovernmental Panel on Climate Change คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ เป็นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น โดยองค์การสหประชาชาติในปี 2531เพื่อจัดทำและเสนอแนวทางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้แก่ผู้นำ ในรัฐบาลของแต่ละประเทศ โดยรวบรวมข้อมูลและประเมินผลกระทบในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตรสุขภาพ ป่าไม้ หรือ ทรัพยากรชายฝั่ง จนเกิดการรณรงค์เพื่อลดปัจจัยที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อน
UNFCCC: United Nations Framework Convention on Climate Change อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นอนุสัญญาฯ ที่เกิดจากความพยายามของประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เชื่อว่ามีสาเหตุมาจากปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ที่เกิดจากการสะสมตัวในชั้นบรรยากาศของก๊าซต่างๆ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ และสารซีเอฟซี
COP: The Conference of the Parties การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นองค์กรสูงสุด (Supreme Body) ของ UNFCCC ซึ่งมีการประชุมครั้งแรกที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ใน พ.ศ. 2538 (1995) ต่อมาในการประชุมครั้งที่ 3 (COP-3) ใน พ.ศ. 2540 (1997) ได้มีการยอมรับพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ซึ่งให้ประเทศพัฒนาแล้วลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 5 ของการปลดปล ่อยใน พ.ศ. 2533 (1990) ภายใน พ.ศ. 2551-2555 (2008-2012) โดยสามารถลดภายนอกประเทศได้ และประเทศกำลังพัฒนาแล้วให้ร่วมมือได้ภายใต้โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism หรือ CDM) โดยการประชุมครั้งที่ 18 (COP-18) จัดขึ้นที่เมืองโดฮา ประเทศการ์ตาร์ ในเดือนพฤศจิกายน 2555
KP: Kyoto Protocol พิธีสารเกียวโต เป็นข้อผูกพันทางกฎหมายที่ดำ เนินการเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายในการรับมือกับสภาวะโลกร้อน (Global Warming) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change-UNFCCC) เป็นกลไกในการทำให้อนุสัญญาดังกล่าวมีผลในทางปฏิบัติโดยจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศอุตสาหกรรมหรือที่เรียกว่าประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ 1 (Annex I Countries) ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี พ.ศ. 2533 ประมาณร้อยละ 5 โดยจะต้องดำเนินการให้ได้ภายในช่วงปี พ.ศ. 2551-2555 (2008-2012) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2548 ปัจจุบัน มีประเทศที่ให้สัตยาบันแล้ว 191 ประเทศ (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน พ.ศ. 2554)
ที่มา: คำศัพท์น่ารู้ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย