“ฤดูฝุ่น” วนเวียนกลับมาสร้างปัญหาทุกปี ไล่มาตั้งแต่พื้นที่ กทม.-ภาคกลาง-อีสาน-ตะวันออก และล่าสุดกำลังพัดไป ภาคเหนือ
“พ.ร.บ.อากาศสะอาด” แม้เป็นความหวัง แต่ปลายทางของการบังคับใช้กฎหมายน่าจะยังใช้เวลาอีกพอสมควร ระหว่างรอ ถ้ายังแก้ปัญหาฝุ่นแบบเดิม ๆ เราจะติดอยู่ในวังวนซ้ำซาก เมื่อวิกฤตปัญหา เวียนมาทุกปี และมีแนวโน้มหนักหน่วงขึ้น จะมีทางเลือกไหน และกลไกอะไรที่จะจัดการฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ?
Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญเติมความรู้ และ ระดมความเห็นทุกภาคส่วน ร่วมออกแบบกลไก ปรับวิธีสื่อสาร ผ่าน “Policy Dialogue ฝ่าทางตัน “วาระฝุ่น” 2568 เพื่อจัดการปัญหาฝุ่นและหมอกควันไฟตั้งแต่ต้นทางให้ได้มากที่สุด
“โชคดีที่ตอนนี้บรรยากาศของกรุงเทพฯ ไม่หนักเหมือนปี 2562 ที่เราสูดฝุ่นกันหนักมาก จนตื่นกลัว และยิ่งมีความหวังมากขึ้นจาก ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ ที่กำลังมีขึ้นมา แต่เมื่อปัญหา…ไม่รอกฎหมาย นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะร่วมกันหา ‘กลไกจัดการฝุ่น’ เพราะสุขภาพดีไม่ใช่แค่ต้องไปหาหมอ สุขภาพ ไม่ได้มีแค่ร่างกาย ยังมีมิติด้านจิตใจ สังคม และปัญญา เราเริ่มได้ที่บ้าน ที่ชุมขน และสังคมได้เลย”
นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท หัวหน้ากลุ่มวิจัยสังคมและสุขภาพ สำนักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5
ในปี 2562 – 2567 ข้อมูลจากแอปพลิเคชัน “ตามไฟ” ที่ภาคประชาชนและนักวิชาการจากหลายมหาวิทยาลัยทำร่วมกัน เพื่อติดตามการลุกลามของไฟทั่วประเทศ พบว่า มีกองไฟเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจัดกระจายประมาณ 3,000 – 4,000 กองต่อปี และบางกองใหญ่ถึง 100,000 ไร่ หรือเกือบเท่า ๆ 1 ใน 10 ของกรุงเทพฯ
โดยถ้าดูย้อนหลังไปในปี 2564 – 2565 ที่มี “ลานีญา” เข้ามา ทำให้ฝนตกชุก สังเกตว่าจะแทบไม่เห็นกองไฟ ไม่มีมลพิษทางอากาศ แต่ต่อมาในปี 2566 กองไฟกลับเยอะขึ้นอีกครั้ง ปัจจัยหนึ่งมาจาก “เชื้อเพลิง” ที่เหลือมาจากปีก่อนหน้าด้วย
และในปี 2567 “เอลนีโญ” เข้มมาก ส่งผลให้บรรยากาศร้อน จึงเป็นอีกปีต่อเนื่องที่เห็นกองไฟชัดไม่น้อย โดยพบพื้นที่เผาไหม้กว่า 19 ล้านไร่ แบ่งเป็น ป่าอนุรักษ์ 4.5 ล้านไร่ ป่าสงวน 5 ล้านไร่ พื้นที่เกษตร 6.5 ล้านไร่ และที่ดินที่รัฐสรรให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ทำกินของตัวเอง (ส.ป.ก.) 3 ล้านไร่

สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่ปี 2564 – 2567
สำหรับแหล่งกำเนิดฝุ่น (Point Source) ในประเทศ เจน ชาญณรงค์ ประธานชมรมผู้รับพระราชทานทุน มูลนิธิอานันทมหิดล บอกว่า ครึ่งหนึ่งเกิดจาก “การเผาป่า” อีกเกือบครึ่งหนึ่งมาจาก “การเผาของภาคเกษตร” เช่น นาข้าว อ้อย และอีกส่วนสำคัญคือ “ภาคเมือง” จากรถยนต์ โรงงาน และ “ฝุ่นข้ามแดน” ซึ่งแต่ละพื้นที่จะมีแหล่งกำเนิดฝุ่นไม่เหมือนกัน
เช่น “ภาคกลาง” หลัก ๆ จะมาจากการขนส่ง ซึ่งเป็นไฟที่มองไม่เห็น ฝุ่นที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ผลจากการขยายเมืองทำให้มีฝุ่นที่เกิดขึ้นจาการก่อสร้าง และการเผาทางการเกษตร ส่วน “ภาคเหนือ” มีการเผาในพื้นที่ป่า การเผาทางการเกษตร เรื่องฝุ่นข้ามแดน
อย่างไรก็ตามในปี 2566 – 2567 สถานการณ์เผาป่า ที่เคยเป็นข้อกังวลใหญ่ ๆ เริ่มลดลงเยอะมาก เพราะสามปัจจัยดังต่อไปนี้
- เกิดเชียงใหม่โมเดล ที่ภาคประชาชนยื่นข้อมูลให้นายกรัฐมนตรี แล้วรัฐบาลรับนโยบายจัดการทุกข์ของคนในภาคเหนือ ซึ่งเชียงใหม่เป็นหนึ่งในพื้นที่หลักของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น
- ทหารเริ่มเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่เผาป่า ซึ่งบางคนยอมเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต
- กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลงนาม MOU กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่า ซึ่งพบว่าในปี 2567 สามารถลดไฟป่าอนุรักษ์ได้เกือบ 50% และในปี 2568 ตั้งเป้าหมายจะลดลงให้ได้อีก 25%
การจัดการ “การเผาป่า” ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังเน้น “ไล่ดับไฟป่า” แม้จะช่วยแก้ปัญหาได้จริง แต่ก็เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ “เจน ชาญณรงค์” จึงอยากให้ “ทำความเข้าใจมือเผา”
“การไล่ดับไฟป่า แม้จะทำได้ตลอดชีวิต แต่คำถามคือในอีก 10 ปี เราจะยังอยากนั่งไล่ดับไฟอีกไหม? จึงอยากให้เข้าใจ ‘คนจุดไฟ’ ดีกว่า จะต้องช่วยอย่างไรเพื่อให้เลิกทำ มีทางเลือกอาชีพอื่นไหม เขา Win เราก็ Win”
เจน ชาญณรงค์ ประธานชมรมผู้รับพระราชทานทุน มูลนิธิอานันทมหิดล
ฝุ่นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ต้องแก้ด้วยกฎหมาย
นับจากปี 2562 ผ่านมาแล้ว 6 ปี ข้อค้นพบหนึ่งที่ ไพสิฐ พาณิชย์กุล ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขมลพิษทางอากาศ (ศวอ.) พบว่ายังไม่เคยมีใครพูดถึง “ฝุ่นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง” ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชน พ.ศ. … จึงเป็นความหวัง ความจำเป็นในระยะยาวที่จะแก้เรื่องนี้ได้ตั้งแต่ต้นตอ
แต่การมีกฎหมาย ใช่ว่าจะลดฝุ่นได้ทั้งหมด สิ่งสำคัญอยู่ที่การเอาหลักการที่อยู่ใน กฎหมาย ความรู้ ระบบราชการ และเศรษฐกิจ นำไปสู่การปฏิบัติภายใต้กลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน
“ที่ผ่านมาไทยเกิดการเรียรู้แล้วว่า การใช้คำสั่งให้ปฏิบัติตามในรูปแบบบนลงล่างไม่ได้ผล และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีการนำข้อมูลความรู้มาสู่การออกแบบ หรือการสั่งการที่ถูกจุด เนื่องจากแต่ละที่มี Point Source ที่แตกต่างกัน”
ไพสิฐ พาณิชย์กุล ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขมลพิษทางอากาศ
“พื้นที่กลาง” นอกจาก “สภา” ทั้งในระดับจังหวัด ท้องถิ่น และชุมชน จึงเป็นคำตอบที่จะทำให้เกิดการพูดคุย หาทางออกร่วมกัน ซึ่งจะช่วยฝ่าทางตันของ “ฤดูฝุ่น” ที่เกิดขึ้นเป็นวังวนได้
“เชียงใหม่โมเดล” เป็นตัวอย่างที่ดี ของการสร้างพื้นที่กลาง สะท้อนให้เห็นถึงพลังประชาชนอย่างแท้จริง โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เชียงใหม่เป็นตัวแทนจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นสะสมมานานกว่า 20 ปี เพราะ “กลไกระบบราชการ” แก้ปัญหาได้แบบเฉพาะหน้า คือแก้ได้เมื่อเกิดมลพิษแล้ว แค่ 3 เดือน เท่านั้น แต่คนในพี้นที่ไม่อยากรอนั่งรับผลกระทบอีกต่อไป จึงลุกขึ้นมาพัฒนาข้อเสนอเป็นเชียงใหม่โมเดล โดยมีหลักการสำคัญดังนี้
- ใช้ระบบฐานข้อมูลสู่การออกแบบกลไกที่ลึกลงไปถึง Point Source รวบรวมความเห็นคนในพื้นที่โดยมีภาคประชาสังคม และนักวิชาการประมวลออกมาเป็น “ข้อมูล” เพื่อนำมาออกแบบกลไกการแก้ปัญหาฝุ่นที่ลงไปถึงต้นตอ
- ระบบราชการแบบเปิด เปิดให้ภาคส่วนต่าง ๆ นำข้อมูลมากาง เพื่อหาทางออกร่วมกัน
- พื้นที่กลาง ระดับจังหวัด ท้องถิ่น ชุมชน มีพื้นที่พูดคุยเพื่อสรุปบทเรียนจากการดำเนินงานที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง
“ไพสิฐ” ย้ำว่า ยิ่งเสียงของประชาชนดังเท่าไร ยิ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งการมีพื้นที่กลางยิ่งทำให้เกิดความไว้วางใจ ความจริงใจที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาฝุ่น
อำนาจจำกัด อุปสรรคป้องกันฝุ่นพิษ
“ข้อจำกัดทางอำนาจ” เป็นหนึ่งใน “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่ต้องเร่งแก้ เพื่อให้ท้องถิ่นมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการแก้ปัญหา เรื่องนี้ พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บอกว่า ที่ผ่านมา กทม.พยายามทำสิ่งที่ทำได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงการ “นักสืบฝุ่น” เพื่อศึกษาที่มาของฝุ่นในเมือง และโครงการ “ตรวจรถควันดำ”
“แต่แค่พื้นที่ที่ประชาชนคาดหวังให้มีการตรวจรถควันดำ กทม.ยังมีอำนาจไม่เพียงพอ เพราะในฐานะเจ้าพนักงานตาม ‘พรบ.สิ่งแวดล้อม’ ตรวจได้แค่เฉพาะรถ 4 ล้อ ถ้าเป็นรถ 6 ล้อ ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตามที่ ‘พรบ.ขนส่ง’ หรือ ‘พรบ.จราจร’ ระบุ ซึ่ง กทม.ไม่ใช่ ขณะเดียวกันการตรวจรถบรรทุก ก็ทำได้เฉพาะวันค่าฝุ่นสูง”
พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ที่ผ่านมา กทม. จึงมีข้อเสนอ 10 มาตรการถึงรัฐบาล ที่หวังให้เกิดการกระจายอำนาจ ให้สามารถจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การออกมาตรการพิเศษ เช่น โครงการ “เขตควบคุมมลพิษต่ำ” (Low Emission Zone) มุ่งเน้นลดควันดำจากรถ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของฝุ่นในเมือง โดยตั้งเป้าจำกัดการเดินทางของรถบรรทุก และปรับเกณฑ์ตรวจวัดควันดำให้เหมาะสมจากเดิมที่กำหนดค่าไว้สูงเกินไป รวมถึงโครงการ “ผู้สร้างมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) เก็บเงินจากผู้ใช้รถควันดำหรือรถบรรทุกเข้าเมือง
ลดฝุ่นได้ก่อนด้วย “มิสเตอร์ฝุ่น” คนกลางให้ความรู้ – เฝ้าระวังมลพิษ
ฝุ่นในเมืองมีความซับซ้อนกว่าฝุ่นนอกเมือง เพราะมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องมาพร้อม ๆ กัน นอกจากสภาพดินฟ้าอากาศ ยังมีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ อาคารสูงเป็นหมู่ และตรอกซอกซอยที่อับลม ที่ทำให้พื้นที่เหล่านั้นมีฝุ่นอยู่จำนวนมาก
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพมหานคร บอกว่า กลไกการทำงานของสภาลมหายใจ เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการขับเคลื่อนงานของภาคพลเมืองและภาคประชาสังคมที่ตื่นรู้ ไม่อยากตกเป็นเหยื่อ อยากจะทำความรู้จักกับมลพิษทางอากาศว่าเกิดจากอะไร
โดยนำข้อมูลมากางและศึกษา มีนักวิชาการนำข้อมูลที่ประชาชนรวบรวมมาประมวลเป็นความรู้ และมีนักสื่อสารสังคมช่วยนำเสนอเพื่อสร้างความเข้าใจต่อสังคมส่วนรวม โดยสื่อไปถึงทั้ง ผู้ก่อ และ ผู้รับผลกระทบจากมลพิษ ว่าจะต้องรับมือหรือป้องกันอย่างไร
จึงเสนอว่าควรมี “มิสเตอร์ฝุ่น” เป็นคนกลางในเมืองและเขตต่าง ๆ เพราะป่าในเมืองไทย ตั้งแต่ต้นจะปีจะถูกทำให้แห้งจากจังหวัดราชบุรีขึ้นไปเรื่อย ๆ จนบรรจบที่จังหวัดเชียงราย ถ้ามีคนเหล่านี้คอยให้ความรู้กับประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ให้สามารถอ่านทิศทางของฝุ่นเป็น เข้าใจเชื้อเพลิงได้ รู้สาเหตุของการเกิดฝุ่น เช่น ฝุ่นของเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาจากหมู่บ้านนั้น อำเภอนี้ แล้วเข้าใจว่าจังหวัดนั้นเขากำลังปลูกอะไร จะเป็นข้อมูลให้ประชาชนสามารถรวมตัวกันคุยกับเมืองต้นลมได้ ขณะเดียวกันประชาชนก็สามารถผันตัวมาเป็น “นักสืบฝุ่น” ช่วยติดตามมาตรการลดฝุ่นได้
“ในช่วง 4 เดือน มกราคม – เมษายน 2568 จะมีลมเปลี่ยนทิศทางอย่างน้อย 3 หน จึงอยากชวนรัฐบาลกลางพิจารณาตั้ง “คณะกรรมการ” ที่ให้จังหวัดปลายลมและข้างเคียง ได้รวมตัวคุยกับจังหวัดต้นลม ว่าจะระดมสรรพกำลังอย่างไร ช่วยเหลืออะไรได้บ้าง เพื่อที่จะไม่รับฝุ่นควันจากลมในช่วงดังกล่าว โดยดำเนินตามหลัก “8 : 3 : 1” คือ วางแผน 8 เดือนล่วงหน้า รับมือ 3 เดือนไฟมา และ 1 เดือนสุดท้ายถอดบทเรียน ทำทุกปี”
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพมหานคร
3 หัวใจสำคัญ “ลดฝุ่น” ใน 3 ระยะ
การแก้ปัญหาฝุ่น ในทุกระยะ ไม่ว่าจะสั้น กลาง และยาว รศ.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า จะต้องมี 3 สิ่ง ดังต่อไปนี้
- ความตระหนักรู้รู้ว่าเราทุกคนล้วนมีส่วนทำให้เกิดฝุ่น และฝุ่นสามารถพัดไปได้ทุกที่ หากสูดดมลพิษมาก ๆ อาจส่งผลต่อสุขภาพ
- ทบทวนการบังคับใช้กฎหมายเดิมที่มีอยู่ ถูกดำเนินการอย่างมีประสิทธิผลภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานแล้วหรือยัง เช่น ไปตรวจรถบรรทุกทุกช่วงกลางวัน ทั้งที่รถบรรทุกวิ่งช่วงกลางคืน เป็นต้น
- ฝุ่นเกี่ยวพันกับปัญหาปากท้อง ต้องเสริมแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ ให้ทั้งผู้ลดมลพิษ และผู้ก่อมลพิษ เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวได้ โดยเฉพาะ “ผู้เผาพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ป่า” เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาปากท้อง ถ้ารัฐยกระดับมูลค่าของเศษวัสดุ หรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร อย่างฟางข้าวให้สามารถขายได้ ก็คงไม่มีใครอยากเผา ขณะเดียวกันภาครัฐก็ต้องช่วยสนับสนุนค่าขนส่ง เพื่อลำเลียงฟางข้าวไปยังโรงงานหรือโรงไฟฟ้าชีวมวล ทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ แถมแก้ปัญหาได้ในระยะยาวด้วย
เช่นเดียวกับ “วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” ได้เสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องการเผาวัสดุทางการเกษตรด้วยว่า ตามมาตรา 8(8) ของ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สามารถอนุญาตให้ที่ดินรกร้างมาเปิดเป็นพื้นที่เก็บฟางหรือวัสดุทางการเกษตร แล้วยกเว้นภาษีได้ เพียงบอกว่าเป็นการให้บริการทางระบบนิเวศหรือสิ่งแวดล้อม ที่ให้ราชการใช้เป็นสาธารณประโยชน์ โดยที่ไม่ต้องไปปลูกกล้วย ปลูกมะนาว ซึ่งแปลว่าฟางเกือบ 30 ล้านตันที่เสี่ยงจะถูกเผาในทุกปี ก็จะมีที่อยู่ แล้วสามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ซึ่งเป็นอีกมิติตัวอย่างของการใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้ว นำมาช่วยแก้ไขปัญหาฝุ่นได้โดยไม่ต้องรอ “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” เพียงอย่างเดียว
“กลไกการมีส่วนร่วม” หยุดยั้งฝุ่นพิษ
ฝุ่นไร้พรมแดน การแก้ปัญหาด้วยหน่วยงานเดียวจึงไม่เพียงพอ ในวันนี้เราจึงเริ่มเห็นบทบาทของภาคประชาสังคมที่เข้ามาขับเคลื่อนเรื่องนี้ เพียงแต่ยังขาดการบูรณาการร่วมกันในวงกว้าง ซึ่งทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้
โดยหนึ่งในกลไกที่จะสร้างการมีส่วนร่วม จนนำไปสู่นโยบาย นาตยา พรหมทอง ผู้อำนวยการสำนักนโยบายสาธารณะภาคกลาง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) บอกว่า สช.มีหลากหลายเครื่องมือที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม
ตัวอย่างเช่น การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) หรือ การประเมินผลกระทบทางสุขภาพระดับชุมชน (CHIA) ที่ใช้กลไกวิชาการเข้าไปสนับสนุน ให้ประชาชนได้เรียนรู้ และร่วมกันพัฒนาข้อเสนอได้
รวมถึง การมีศูนย์วิชาการประเมินด้านสุขภาพอยู่ภายใต้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศ เข้ามาเป็นกลไกสนับสนุนให้ชุมชนที่มีข้อเสนอ สามารถพัฒนาไปเป็น “ธรรมนูญสุขภาพ” กฎกติกาของแต่ละพื้นที่ที่ร่วมกันกำหนดและร่วมกันปฏิบัติ ซึ่งใน กทม. ก็มีธรรมนูญสุขภาพในหลายเขต และมีการใช้เงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ที่มีอยู่แล้วไปสนับสนุนช่วยในขับเคลื่อน
และหากเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายถึงรัฐ ก็มีกลไกที่สามารถนำเข้าสู่ “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ” ที่สามารถนำเสนอมติไปถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในภาพใหญ่ สานต่อไปจนถึงการร่างพระราชบัญญัติให้มีผลบังคับใช้ได้อีก
“เจน ชาญณรงค์” ย้ำด้วยว่า ประชาชนเป็นพลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคม โดยภาคประชาสังคม ท้องถิ่น และนักวิชาการ อาจนำความเห็นของทุกคนมาสร้างเป็น “Data Driven Policy” ยื่นให้ราชการ แล้วแปลงความรู้เหล่านั้นให้สังคมเข้าใจได้ง่าย จากนั้นทุกคนร่วมกันทำหน้าที่ติดตามการทำงานของภาครัฐในแต่ละปีว่าเป็นอย่างไร
อย่ามองฝุ่นเป็นแค่ฤดู ชวนทุกภาคส่วนร่วมแก้ปัญหา PM 2.5 อย่างจริงจัง
“เรามองฝุ่นเป็นเพียงแค่ฤดู ทั้งที่ทิ้งร่องรอยของความทุกข์ทรมานไว้กับมนุษย์ เด็กไอเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล แม้โรงเรียนและพ่อแม่จะปกป้องชีวิตของพวกเขาไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่อีกไม่นานการ์ดก็ตก จึงอยากชวนทุกคนให้ลุกขึ้นมา ไม่เช่นนั้นฝุ่นจะอยู่กับลูกหลานของคุณไปตลอดชีวิต”
เครือข่ายพ่อแม่ตื่นรู้ สู้ภัยฝุ่น
ช่วงหนึ่ง ของการแลกเปลี่ยนและระดมความเห็นจากวงเสวนา ฝ่าทางตัน “วาระฝุ่น” 2568 ยังมีข้อเสนอจากตัวแทนผู้ขับเคลื่อนวาระฝุ่นกว่า 30 คน ร่วมกันผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับอากาศที่ทุกคนต้องหายใจทุกวัน โดยมีข้อเสนอที่อยากเน้นย้ำทุกภาคส่วนช่วยกันทำให้เกิดขึ้นจริงดังนี้
- มีระบบแจ้งเตือนค่าฝุ่น พร้อมคำแนะนำในการป้องกันตัวเอง ส่งตรงถึงทุกคน
- มีระบบศูนย์กลางข้อมูลของฝุ่น ให้ประชาชนสามารถเช็กข้อมูลทุกมิติที่เกี่ยวข้องได้ง่าย
- สร้างพื้นที่การรู้เท่าทันเรื่องฝุ่น เช็กข่าวจริง-ข่าวปลอม
- มีหน่วยงานให้ความรู้ประชาชน
- มีกำหนดอายุรถยนต์ รถโดยสาร และการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดมลพิษจากโรงงาน
- มีมาตรการแจกหน้ากากอนามัย
- ออกแบบการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากฝุ่น
- ขอมีส่วนร่วมในการตรวจสอบโรงงานที่ก่อมลพิษทางอากาศร่วมกับภาครัฐ
- สร้างกิจกรรมตระหนักรู้ให้พ่อแม่สามารถสอนลูกที่ยังเล็กได้ เพราะการสื่อสารกับเด็กเล็กต้องมีความน่าสนใจ
อัปเดต “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” คืบหน้าถึงไหนแล้ว
ความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ รศ.วิษณุ อรรณวานิช ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด บอกว่า ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งทำงานกันอย่างหนักและประชุมกันสองวันในทุกสัปดาห์ เพื่อเร่งให้กฎหมายฉบับนี้ออกมาได้เร็วที่สุด เพียงแต่ความเร็วนี้ก็ต้องมั่นใจถึงคุณภาพของตัวกฎหมายด้วย
ปัญหาฝุ่นวนเวียนมาทุกปี แต่การแก้ไขในปัจจุบันยังเป็นแบบพายเรือวนอ่าง กฎหมายฉบับนี้จึงพุ่งไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยมีสิ่งสำคัญที่เสริมเข้าไปคือ
- สิทธิของประชาชน ที่จะต้องได้รับข้อมูล มีสิทธิหายใจในอากาศสะอาด ไปจนถึงการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติงาน
- เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ ที่ผ่านมาสังคมไทยมีแต่ข้อสั่งการ ซึ่งถ้าถอดบทเรียนจากต่างประเทศ จะพบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้ผล เพราะขาดแรงจูงใจ จึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทางเลือกให้ผู้ก่อมลพิษ
- มีกองทุนเพื่ออากาศสะอาด จัดเก็บเงินเอาไว้ใช้ได้อย่างทันการณ์และต่อเนื่อง เนื่องจากที่ผ่านมามีจำกัดและได้เป็นปีต่อปี อย่าง “เชียงใหม่” แม้คนในชุมชนจะช่วยกันพัฒนากฎกติกาเอาไว้ใช้ร่วมกัน แต่ด้วยงบน้อยและไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้แผนการจัดการฝุ่นยังไม่ไปไกลถึงยุทธศาสตร์ของประเทศ ที่จะใช้ได้ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ซึ่งการแก้ปัญหาฝุ่นต้องการงบประมาณที่มีความยืดหยุ่น สามารถขอล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 ปี ขณะเดียวกันเงินในส่วนนี้ยังสามารถเป็น “ค่าปรับตัว” ให้เกษตรกร เมื่อลดการเผา และ “ค่าตอบแทน” ให้ผู้ดูแลผืนป่าในชุมชนได้
- ก่อตั้งหน่วยงานที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ อย่าง กทม.จะแก้ปัญหา แต่แก้ไม่ได้ เนื่องจากติดอยู่ที่เป็นหน้าที่ของกรมมลพิษบ้าง หรือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น
ฝุ่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องรอ … เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะมีอีกกี่คนที่รอพรุ่งนี้ไม่ไหว ทุกคนมีศักยภาพ มีพลัง ถึงเวลาแล้วที่จะร่วมมือกันขับเคลื่อน สร้างลมหายใจบริสุทธิ์ ได้ตั้งแต่วันนี้