ศูนย์บริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service – C3S) ของ EU ระบุในจดหมายข่าวรายเดือนว่า อากาศร้อนผิดปกติยังคงดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่เดือนมกราคม โดยในช่วง 19 เดือนที่ผ่านมานั้น มีถึง 18 เดือนที่อุณหภูมิโลกเฉลี่ยสูงกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปี 2567 เป็นปีร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และโลกกำลังเปลี่ยนเข้าสู่สภาพอากาศแบบลานีญา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ผิวน้ำของมหาสมุทรแปซิฟิกเขตเส้นศูนย์สูตรนั้นเย็นลงและสามารถช่วยลดอุณหภูมิของโลกได้
สำหรับอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในเดือนม.ค. 2568 สูงกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 1.75 องศาเซลเซียส
โคเปอร์นิคัสประเมินว่า ปรากฏการณ์ลานีญายังไม่ได้พัฒนาอย่างเต็มที่ และโลกกำลังอยู่ในสภาวะที่เป็นกลางระหว่างสองปรากฏการณ์นี้ อย่างไรก็ตาม แบบจำลองข้อมูลอื่น ๆ อาจให้ผลที่แตกต่างออกไป โดยนักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ ว่าปรากฏการณ์ลานีญาได้เกิดขึ้นแล้ว ในเดือนม.ค. 2568
เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 1850-1900 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำหรับอ้างอิงในยุคก่อนอุตสาหกรรม พบว่าในเดือนม.ค. 68 อุณหภูมิอบอุ่นกว่าค่าเฉลี่ยในเดือนม.ค. โดยอุณหภูมิอยู่ที่ 1.75 องศาเซียลเซียส และยังเป็นเดือนที่ 18 ในช่วง 19 เดือนที่อุณหภูมิพื้นผิวโลกโดยเฉลี่ยสูงกว่าช่วงก่อนอุตสาหกรรม 1.5 องศาเซียลเซียส
ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino) ที่ทำให้ปี 2567 เป็นปีร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และโลกกำลังเปลี่ยนเข้าสู่สภาพอากาศแบบลานีญา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ผิวน้ำของมหาสมุทรแปซิฟิกเขตเส้นศูนย์สูตรนั้นเย็นลงและสามารถช่วยลดอุณหภูมิของโลกได้
อุณหภูมิโลกยังสูงทุบสถิติ แม้ไม่มีเอลนีโญ
ซาแมนธา เบอร์เจส หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ของศูนย์พยากรณ์อากาศระยะกลางแห่งยุโรป กล่าวว่าอุณหภูมิยังสูงเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าไม่มีอิทธิพลจากเอลนีโญ ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ โดยผลจากปรากฏการณ์เอลนีโญแตะจุดสูงสุดไปมากกว่า 1 ปีแล้ว
“เดือนม.ค. 68 เป็นเดือนที่น่าประหลาดใจ โดยอุณหภูมิยังทุบสถิติต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเกิดลานีญาในเขตมรสุมของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิโลกเย็นลง โดยศูนย์ฯยังเฝ้าติดตามอุณหภูมิมหาสมุทรและผลกระทบต่อภูมิอากาศตลอดปี 2025
ในช่วง 12 เดือน นับจาก ก.พ. 2567-ม.ค. 2568 อุณหภูมิเฉลี่ยมากกว่าช่วงปี 1991-2020 อยู่ที่ 0.73ºC และสูงกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.61ºC โดยช่วงเวลาที่อบอุ่นที่สุดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ยังคงเป็นเดือนมิ.ย. ก.ค. และ ส.ค.
ในทวีปยุโรป อุณหภูมิอากาศพื้นผิว สูงกว่าช่วงปี 1991-2020 อญุ่ที่ 2.51ºC สำหรับค่าเฉลี่ยในเดือนม.ค. และเป็นเดือนม.ค.ที่อบอุ่นมากที่สุดเป็นอันดับสอง โดยต่ำกว่าเดือนม.ค. 2020 ประมาณ 0.13ºC และอุ่นกว่าเดือนม.ค.ปี 2007 ซึ่งเป็นเดือนที่อบอุ่นมากที่สุดอันดับสาม 0.10ºC
ทางรัสเซียตะวันตกและแคนาดา มีสภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่สหราชอาณาจักร ไอซ์แลนด์ ทางตะวันออกของสหรัฐฯ และรัสเซียด้านตะวันออกไกลมีอุณหภูมิต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
เมืองวาเลนเซียในสเปน มีอุณหภูมิอบอุ่นที่สุดเมื่อ 27 ม.ค. อยู่ที่ 26.9ºC ทุบสถิติในรอบ 150 ปี
ผืนน้ำแข็งในทะเลอาร์คติกในเดือนม.ค. ทำสถิติน้อยที่สุด โดยในเดือนม.ค. 2568 ผืนน้ำแข็งต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยในช่วงปี 1991-2020 อยู่ที่ 6% และต่ำกว่าเดือนม.ค. ปี 2018 ที่เคยทำสถิติมีน้อยที่สุด โดยสถิติครั้งใหม่ต่อเนื่องมาจากเดือนธ.ค.ก่อนหน้านี้ที่ทำสถิติน้อยที่สุด
เหตุการณ์สำคัญในปี 2567
- ปี 2567 เป็นปีที่อบอุ่นที่สุดในข้อมูลที่มีการบันทึกทั่วโลกย้อนกลับไปถึงปี ค.ศ. 1850
- ปี 2567 อุณหภูมิเฉลี่ยที่วโลกอยู่ที่ 15.10°C ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายปีที่สูงที่สุดในปี 2566 อยู่ที่ 0.12 องศาเซียลเซียส
- ปี 2567 อุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 1991–2020 และ สูงกว่าช่วงก่อนอุตสาหกรรม 1.60°C ซึงเป็นปีแรกที่อุณหภูมิสูงกว่า 1.5°C เหนือระกับอุตสาหกรรม
- 10 ปีหลังสุดที่อุณหภูมิอบอุ่นที่สุดในการบันทึกในช่วงระยะห่างกัน 10 ปี
- แต่ละเดือน ตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย. 2024 อบอุ่นขึ้นกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน
- 22 ก.ค. 24 อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกแตะระดับสูงสุดที่เคยบันทึกมาที่ 17.16°C.
C3S ใช้ข้อมูลที่ระดับก่อนอุตสาหกรรม เป็นค่าเฉลี่ยในช่วงปี 1850–1900 และช่วงอ้างอิงยุคใหม่ในระหว่างปี 1991–2020
ในปี 2024 เป็นปีแรกที่อุณหภูมิโลกมากกว่า 1.5°C ก่อนระดับยุคอุตสาหกรรม และมีถึง 11 เดือนที่อุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงกว่า1.5°C ก่อนระดับยุคอุตสาหกรรม ขณะที่เมื่อรวมค่าเฉลี่ยในปี 2566-2567 จะมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนอุตสาหกรรม 1.54°C
The UNFCCC Paris Agreement มีเป้าหมาย “คุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2°C เหนือระดับช่วงก่อนอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดไม่ให้เกิน 1.5°C เหนือระดับอุตสาหกรรม”
แม้ว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ระบุชัดว่าอะไรจะทำให้บรรลุเป้าหมาย หรือ ต่ำกว่า 2°C หมายถึงอะไร แต่เป็นข้อตกลงทั่วไปที่จะต้องทำให้ได้ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยระหว่างปี 1850–1900 ถือว่าเป็นช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม
การที่อุณหภูมิเฉลี่ยหนึ่งหรือสองปีมากกว่าระดับก่อนอุตสาหกรรม 1.5°C ไม่ได้หมายถึงว่าได้มาถึงจุดตามข้อตกลงปรารีส อย่างไรก็ตาม อุณภูมิโลกอุ่นขึ้น 0.2°C ทุก 10 ปี ทำให้มีความเป็นไปได้สูวี่จะถึงเป้าหมายตามข้อตกลงปรารีสในปี 2030 ที่อุณหภูมิโลกสูงเหนือยุคก่อนอุตสาหกรรม