วัตถุประสงค์ TouristDigiPay
กระทรวงการเปิดตัว เปิดตัว “โครงการ TouristDigiPay” มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือครองอยู่เป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่าง ๆ ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
กระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างรอบคอบและมีกลไกป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสม โครงการ TouristDigiPay จึงดำเนินการในรูปแบบโครงการทดสอบ (Sandbox) โดยมีระยะเวลาเบื้องต้น 18 เดือน ซึ่งหลังสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว จะมีการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อพิจารณาดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
โครงการนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลให้สามารถใช้จ่ายในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น
ก.ล.ต.คาดเริ่มไตรมาส 4 ปี 68
สำหรับการใช้จ่ายภายใต้ TouristDigiPay นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถสแกนชำระเงิน (เช่น ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน เป็นต้น) กับร้านค้าต่าง ๆ ได้ในทุกพื้นที่ในประเทศไทย ทั้งร้านค้าขนาดใหญ่ และพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย
ทั้งนี้ โครงการ TouristDigiPay ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้นำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) กับร้านค้าไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม โดยร้านค้าต่าง ๆ จะยังคงได้รับชำระค่าสินค้าหรือบริการเป็นสกุลเงินบาทตามปกติ
ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ให้บริการ e-Money ที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำหนดอย่างเคร่งครัด ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งในการทำความรู้จักตัวตนของผู้ใช้บริการ (Know Your Customer: KYC) การประเมินความเสี่ยงของลูกค้า (Customer Due Diligence: CDD) ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมดูแลและป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน
การป้องกันการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลมาเป็นสื่อกลางการชำระเงินค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) โดยภายใต้การทดสอบนี้ จะไม่มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการกับร้านค้า ไม่สามารถซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกจากการใช้จ่าย โดยห้ามโอนหรือรับเงินบาทจากบุคคลอื่น รวมถึงไม่สามารถแลกสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินสด และไม่สามารถทำธุรกรรมโดยแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้
ขณะนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และเปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้ามาหารือเพื่อเตรียมความพร้อม (pre-consultation) ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ส.ค. 2568 โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2568 และเมื่อโครงการสิ้นสุดลงจะมีการประเมินประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาต่อยอดเพิ่มเติมต่อไป
ขั้นตอนแปลงคริปโทฯ เป็นเงินบาท
ขั้นตอนการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาท นักท่องเที่ยวจะต้องดำเนินการดังนี้
ขาแลกเข้า
- นักท่องเที่ยวต่างชาติโอนสินทรัพย์ดิจิทัลมายังบัญชีที่เปิดกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และแจ้งความประสงค์ขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทผ่านช่องทางที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้บริการ
- ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะดำเนินการแลกเปลี่ยน DA เป็นเงินบาท และโอนเงินบาท ไปยังบัญชี e-money ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ชื่อตรงกัน)
- นักท่องเที่ยวต่างชาตินำเงิน e-money ไปใช้จ่ายที่ร้านค้า โดยไม่มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) กับร้านค้า
ขาแลกออก
- นักท่องเที่ยวต่างชาตินำเงินที่เหลือในบัญชี e-money มาแลกคืนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล โดยแจ้งความประสงค์ซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านช่องทางที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้บริการ
- ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะดำเนินการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล และโอนสินทรัพย์ดิจิทัล กลับไปยังกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ซึ่งต้องเป็นกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลเดียวกับที่โอนสินทรัพย์ดิจิทัลฝากเข้ามา) แลกเหรียญอะไรได้-ราคาเท่าไหร่
ก.ล.ต. ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นเหรียญใดบ้าง โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกเหรียญที่นำมาให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้าร่วมโครงการ Sandbox ตามปกติ (ปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลที่นำมาให้บริการอยู่แล้ว โครงการ Sandbox ไม่ได้มีเกณฑ์เพิ่มเติมขึ้นจากเดิม) ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ผู้ประกอบธุรกิจ
สำหรับราคาในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทใช้ราคาตลาดตามช่วงที่ทำการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ในกรณีที่ผู้ใช้บริการประสงค์จะซื้อขายเก็งกำไร ผู้ใช้บริการดังกล่าวต้องสมัครใช้บริการตามขั้นตอนปกติ)
ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ
เนื่องจากในการใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ จะใช้จ่ายด้วยเงินบาทผ่านผู้ให้บริการ e-money ดังนั้น ร้านค้าหรือผู้ประกอบการทั่วประเทศที่สามารถรับชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การสแกน QR Code เป็นต้น สามารถให้บริการได้ตามปกติ
คุณสมบัติศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
คุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องการเข้าร่วม Sandbox ต้องเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. โดยต้องสมัครและได้รับความเห็นชอบให้เข้าร่วม Sandbox จาก ก.ล.ต. มีความพร้อมในการดำเนินการตามรูปแบบและขอบเขตของโครงการ โดยมีการเชื่อมต่อกับ ผู้ให้บริการ e-money มีความพร้อมในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของโครงการ ต้องไม่อยู่ระหว่างถูกสั่งการโดยคณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงาน ก.ล.ต. ให้ปรับปรุงระบบงานอันเนื่องมาจากการปฏิบัติ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจ
นอกจากคุณสมบัติข้างต้นแล้ว ต้องมีแผนรองรับการประเมินประสิทธิภาพที่ชัดเจนก่อนออกจากโครงการทดสอบเมื่อครบกำหนดเข้าร่วมโครงการ หรือกรณีที่จะออกจากโครงการก่อนครบอายุโครงการ โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย อาทิ คุณภาพในการให้บริการ การป้องกันการฟอกเงินของผู้ประกอบธุรกิจ มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาประเมินผลประกอบกับความสำเร็จของโครงการในภาพรวม และอาจพิจารณาขยายระยะเวลาออกไปได้
กลไกป้องกันฟอกเงิน
การให้บริการดังกล่าว มีแนวทางป้องกันการฟอกเงินดังนี้
1. นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประสงค์จะใช้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทและนำเงินบาทไปใช้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการ ต้องเปิดบัญชีกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ให้บริการ e-money ที่ให้บริการดังกล่าวภายใต้ Sandbox โดยมีการทำความรู้จักตัวตนของผู้ใช้บริการ (KYC/CDD) ตามหลักเกณฑ์ของ ปปง. ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ให้บริการ e-money เป็น สถาบันการเงินที่มีหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอยู่แล้ว
2. ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องตรวจสอบแหล่งที่มาและความเสี่ยงด้านการฟอกเงินของสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ใช้บริการ โดยใช้บริการ Blockchain forensic tools ที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล หรือวิธีการอื่นที่เทียบเท่าหรือเข้มข้นกว่า (คัดกรองทั้งสินทรัพย์ดิจิทัลขาโอนเข้าและขาโอนออก) เว้นแต่กรณีที่มีการจำกัดวงเงินการขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทของผู้ใช้บริการเพื่อนำไปใช้จ่ายไม่เกิน 50,000 บาท/เดือน/คน (บริการที่มีความเสี่ยงต่ำตามหลักเกณฑ์ของ ปปง.)
3. ในกรณีที่ตรวจสอบพบว่า สินทรัพย์ดิจิทัลโอนมาจากกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเกี่ยวข้องในกรณีที่ผู้ใช้บริการประสงค์จะซื้อขายเก็งกำไร ผู้ใช้บริการดังกล่าวต้องสมัครใช้บริการตามขั้นตอนปกติกับการฟอกเงิน ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล จะต้องปฏิเสธหรือระงับการให้บริการกับผู้ใช้บริการรายดังกล่าว
4. ในขั้นตอนการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาท ทั้งขาแลกเข้าและขาแลกออก มีกลไกเพิ่มเติมที่ช่วยป้องกันการฟอกเงิน คือ
- ขาแลกเข้า: ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะดำเนินการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาท และโอนเงินบาทไปยังบัญชี e-money ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มีชื่อตรงกันเท่านั้น
- ขาแลกออก: นักท่องเที่ยวต่างชาตินำเงินที่เหลือในบัญชี e-money มาแลกคืนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะดำเนินการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล และโอนสินทรัพย์ดิจิทัลกลับไปยังกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งต้องเป็นกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลเดียวกับที่โอนสินทรัพย์ดิจิทัลฝากเข้ามาเท่านั้น
กสิกรเปิดตัวการทดสอบ Q Wallet
จากนโยบายดังกล่าว ทำให้ธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวการทดสอบ “Q Wallet” กระเป๋าเงินดิจิทัลที่พัฒนาจากเทคโนโลยีบล็อกเชน พลิกโฉมระบบการชำระเงินไร้พรมแดน สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและร้านค้าไทย
นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในประเทศไทย สามารถนำ USDC แลกเปลี่ยนเป็น THBS (Programmable Payment) ซึ่งเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มีกลไกการรักษามูลค่าในรูปแบบเงินฝากสกุลบาทที่สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการในประเทศไทยได้แบบเรียลไทม์
นักท่องเที่ยวสามารถใช้ชำระเงินผ่านระบบ THAI QR Payment กับร้านค้าได้ ไม่ต้องมีบัญชีธนาคารในประเทศ เพื่อส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไร้เงินสด มุ่งยกระดับบริการทางการเงินของไทยสู่ระดับสากล
กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่าธนาคารกสิกรไทยได้มีการเริ่มทดสอบ Q-money ซึ่งเป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชน (E-money on Blockchain) ใน Regulatory Sandbox ในปีที่ผ่านมา โดยใช้ Quarix เป็นโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งพัฒนาโดย บจก.ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี แอนด์ อินโนเวชั่น (Orbix Technology) ซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกสิกรไทย
ล่าสุดได้นำไปสู่การพัฒนาต่อยอดเป็น “Q Wallet” ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยตอบโจทย์ทั้งลูกค้าชาวไทยด้วย Q-money
สำหรับการใช้งาน Q Wallet ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถใช้ THBS ชำระเงินผ่าน THAI QR Payment กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการกว่า 100 แห่ง ในพื้นที่ที่กำหนด ครอบคลุมหลายประเภทธุรกิจ อาทิ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงแรม ร้านสปา รวมถึงร้านจำหน่ายอุปกรณ์กีฬา โดยสามารถสมัครใช้งาน Q Wallet ได้ง่ายผ่านสมาร์ตโฟน พร้อมสิทธิประโยชน์ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมการชำระเงิน และแสดงข้อมูลธุรกรรมอย่างโปร่งใสและเชื่อถือได้ สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทยที่สะดวกยิ่งขึ้น โดยมีการจำกัดจำนวนผู้ใช้งานและจำนวนธุรกรรม ภายในระยะเวลาการทดสอบ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568
ไบแนนซ์ชี้หนุนไทยเข้าใกล้ฮับการเงินดิจิทัล
นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH) ระบุว่าถึง TouristDigiPay ว่า โครงการนำร่องนี้ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสกุลเงินบาทเพื่อใช้จ่ายภายในประเทศได้
นอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการท่องเที่ยวไทยแล้ว โครงการนี้ยังมีศักยภาพในการผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศ และนำไทยเข้าใกล้เป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาคมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า TouristDigiPay ไม่ใช่ระบบการชำระเงินด้วยคริปโทเคอร์เรนซี่โดยตรงที่ทั้งลูกค้าและร้านค้าจะทำธุรกรรมกันด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล แต่เป็นกลไกที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทเพื่อชำระเงินผ่านระบบ PromptPay QR ซึ่งใช้งานได้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ร้านอาหารริมทางไปจนถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โครงการนำร่องนี้นำเสนอแนวทางให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัลของตนด้วยวิธีการที่สะดวกและราบรื่น โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินที่แข็งแกร่งของประเทศไทย
จากรายงานของ Grand View Research ระบุว่า การชำระเงินด้วยคริปโทฯ ทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตไปถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033
รายงานนี้ยังชี้ว่าการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการชำระเงินด้วยคริปโตไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของนวัตกรรมการเงิน แต่ยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบการเงินโลกในอนาคต
มั่นใจช่วยหนุนภาคท่องเที่ยวได้
สำหรับประเทศไทย การท่องเที่ยวถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างยาวนาน ในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนเกือบ 20% ของ GDP ไทย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ประเด็นด้านความปลอดภัย และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ การนำทางเลือกการชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วยคริปโทฯ เข้ามาใช้จึงถือเป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะไม่เพียงแต่มอบทางเลือกการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และไร้เงินสดให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่เน้นการใช้งานในรูปแบบดิจิทัล (Digital Nomads) และผู้ถือครองคริปโทฯ ทั่วโลกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทยให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาภูฏานได้กลายเป็นประเทศแรกที่เปิดตัวระบบชำระเงินเพื่อการท่องเที่ยวด้วยคริปโทฯ ในระดับประเทศที่นำโดยรัฐบาล ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถทำธุรกรรมด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างราบรื่นตลอดการเดินทาง นอกจากนี้การชำระเงินด้วยคริปโทฯ ยังถูกนำไปใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น และมีอีกหลายประเทศที่กำลังทดลองนวัตกรรมนี้
ด้วยระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งและโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มั่นคงของไทย เชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะนำนโยบายเชิงนวัตกรรมนี้ไปสู่การใช้งานคริปโทฯ ในวงกว้างและนำไปปฏิบัติได้จริง
หากมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล การนำระบบชำระเงินด้วยคริปโทฯ มาปรับใช้จะเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็เป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงิน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: