รางวัลครึ่งหนึ่งตกเป็นของศาสตราจารย์ Joel Mokyr (Northwestern University และ Tel Aviv University) และอีกครึ่งหนึ่งตกเป็นของศาสตราจารย์ Philippe Aghion (College de France INSEAD และ LSE) และ Peter Howitt (Brown University)
แม้นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัย (research methodology) ที่ต่างกัน แต่มีเป้าหมายร่วมกันคือต้องการศึกษาสาเหตุของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและยาวนาน (sustained economic growth) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่ในช่วงไม่กี่ร้อยปีมานี้
สำหรับ Mokyr นั้น เรียกได้ว่าเป็นนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ (economic historian) ผลงานที่มีชื่อเสียงคือหนังสืออย่าง The Lever of Riches (1990) The Gifts of Athena (2002) The Enlighted Economy (2009) และ A Culture of Growth (2016) งานของ Mokyr ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) รวมถึงองคาพยพของการทำให้เป็นอุตสาหกรรม (industrialization) ในบริบทของประเทศที่พัฒนาแล้ว โดย The Royal Swedish Academy of Sciences ได้สรุปคุณูปการของ Mokyr คือการระบุ Prerequisites หรือสิ่งที่ต้องมีมาก่อนของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและยาวนาน นั่นคือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (technological progress)
ความก้าวหน้าที่ว่านั้น มีด้วยกัน 2 ระดับ ระดับแรก คือ Macro-inventions ซึ่งหมายถึงนวัตกรรมที่รุนแรง (radical) และสร้างผลกระทบในวงกว้าง เช่น เครื่องจักรไอน้ำ (steam engine) ซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังงานความร้อน (thermal energy) ไปเป็นพลังงานกล (mechanical energy) และวัคซีนไข้ทรพิษ (smallpox) และ ระดับที่สอง คือ Micro-inventions ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพ (Incremental improvements) ของนวัตกรรมระดับ macro เช่น condenser ที่ใช้ใน engine steam และเทคนิคการรีดเหล็กในอุตสาหกรรมเหล็ก
Mokyr อธิบายว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 นั้น เป็นผลลัพธ์ของทั้ง macro-inventions และ micro-inventions ซึ่งไม่พบในช่วงเวลาก่อนหน้าการปฏิวัติอุตสาหกรรม นอกจากนั้น ยังเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์มีความรู้ที่เป็นประโยชน์ (useful knowledge) ไม่ใช่เพียงค้นพบสิ่งนั้นสิ่งนี้ (propositional knowledge) แต่ยังรู้ว่าสิ่งดังกล่าวสามารถทำงานได้อย่างไร (prescriptive knowledge)
Mokyr ยังระบุว่ารากฐาน (root) ของสังคมสมัยใหม่ ไม่ใช่เป็นเพียงการสะสมความมั่งคั่ง ทรัพยากร และการค้าเท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม (cultural transformation) ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของเหตุผลและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ (reason and scientific discovery) ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าสังคมให้คุณค่ากับความปลอดภัย (security) ของเจ้าของไอเดียใหม่ ๆ และการเปิดรับ (openness) ไอเดียใหม่ ๆ มากน้อยแค่ไหน เรื่องดังกล่าวหมายถึงการอดทนต่อความคิดเห็นที่แตกต่าง การไม่ปิดกั้นหรือควบคุมความคิด กฎหมายและโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนนวัตกรรมใหม่ ๆ
โดยสรุปนั้น Mokyr ต้องการสื่อว่าความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการตั้งคำถามทางปัญญาที่เปิดกว้าง (Open intellectual inquiry) ที่นำไปสู่การแลกเปลี่ยนทางความคิดและถกเถียงโดยมีหลักทางวิทยาศาสตร์เป็นแกนกลาง
ขณะที่งานของ Aghion และ Howitt นั้น The Royal Swedish Academy of Sciences กล่าวว่าคุณูปการของเขาคือการพัฒนาทฤษฎีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและยาวนานผ่านการทำลายเชิงสร้างสรรค์ (creative destruction) แนวคิดการทำลายเชิงสร้างสรรค์นั้นเป็นคำที่คิดค้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรีย Joseph Schumpeter ในช่วงทศวรรษที่ 1940 โดยมองว่าระบบทุนนิยม (capitalism) เป็นกระบวนการของ creative destruction ซึ่งธุรกิจและเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมจะถูกแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ ๆ
ดังนั้น ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจจึงมาพร้อมกับ disruption หรือการทำลายบางอย่างลง ตัวอย่างของการทำลายเชิงสร้างสรรค์ อาทิ รถยนต์ที่มาแทนที่รถม้า Wal-mart ที่แทนที่ร้านค้าขนาดเล็ก โทรศัพท์ของ Apple และ Samsung ที่แทนที่โนเกียและ Blackberry การล้มหายตายจากของบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีที่ล้าสมัยจึงเป็นเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
งานวิจัยของ Aghion และ Howitt ที่ตีพิมพ์ในปี 1992 ในวารสาร Econometrica เป็นการใช้กรอบแนวคิดทางคณิตศาสตร์ (mathematical framework) เพื่ออธิบายกลไก แรงจูงใจ และเงื่อนไข ที่ทำให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจผ่าน creative destruction แบบจำลองที่พัฒนาขึ้นได้อธิบายผลกระทบต่อผลผลิต (การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ) เมื่อมีผลิตภัณฑ์ใหม่หรือมีวิธีการผลิตใหม่ ๆ มาแทนที่ของเดิม โดยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะยังคงเกิดขึ้นได้แม้จะมีผลกระทบจากการที่ของเดิม (ทั้งผลิตภัณฑ์เดิม และบริษัทที่ขายเทคโนโลยีเดิม) ถูกทำลาย
งานวิจัยชิ้นนี้ มีการอ้างอิงสูงถึง 17,000 ครั้ง และกลายมาเป็นพื้นฐานให้กับงานวิจัยที่เกี่ยวกับนวัตกรรมและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แบบจำลองนี้ทำให้นักวิจัยรุ่นหลังสามารถเชื่อมโยงทฤษฎีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเข้ากับข้อมูลระดับย่อย (Micro data) ของสถานประกอบการได้ เพื่อดูว่าบริษัทในตลาดที่มีระดับการใช้เทคโนโลยีที่ต่างกันมี performance ที่แตกต่างกันหรือไม่อย่างไร
แบบจำลองของ Aghion และ Howitt ได้สะท้อนพัฒนาการทางความคิดของทฤษฎีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (growth theory) ในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เมื่อเราพูดถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (technological progress) นั้น แบบจำลองในทศวรรษที่ 1960s โดย Robert Solow (ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1987) ได้สมมติให้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีลักษณะ “Exogeneous” หรือ “from outside” (เราอาจเรียกว่า Solow-Swan Model เนื่องจาก นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรเลีย Trevor Swan ได้ตีพิมพ์บทความที่ให้ข้อค้นพบเช่นเดียวกันในเวลาไล่เลี่ยกันกับ Solow)
การที่แบบจำลองกำหนดให้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีลักษณะ exogenous นั้น ทำให้แบบจำลองไม่สามารถอธิบายว่าทำไมเทคโนโลยีถึงดีขึ้นข้ามช่วงเวลา เพียงแค่สมมติให้มันเพิ่มขึ้นในอัตราที่เท่าเดิม technological progress ในกรณีของ Solow จึงถูกมองว่าเป็นกล่องดำ (Black box) ซึ่งต่อมา แบบจำลองการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมองว่าเทคโนโลยีนั้นมีลักษณะ “Endogenous” หรือ “from inside” เกิดขึ้นจากภายใน เช่น การลงทุนใน R&D และการลงทุนในทุนมนุษย์ และนวัตกรรมนี้เองจึงเป็นบ่อเกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
แบบจำลองของ Aghion และ Howitt มีความใกล้เคียงงานของ Paul Romer ที่ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2018 แต่จุดแตกต่างก็คือว่า งานของ Romer นั้น มองว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นการเพิ่มขึ้นในจำนวนสินค้าขั้นกลาง (intermediate goods) เช่น สินค้าใหม่ ๆ (new varieties of goods) และการเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากพฤติกรรมมุ่งแสวงหากำไร (profit-maximizing behaviour) ของผู้คิดค้นนวัตกรรมและบริษัท
นอกจากนั้น แบบจำลองของ Romer ยังมองว่าเมื่อนวัตกรรมหรือสินค้าขั้นกลางถูกคิดค้นขึ้นมาแล้ว มันจะถูกใช้ตลอดไป (เช่น เราจะยังคงใช้เครื่องจักรไอน้ำร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจึงไม่กระทบกับสัดส่วนตลาดหรือการจ้างงานของบริษัทเดิมและแรงงานเดิม (Non-rival nature of ideas) หรือไม่มี creative destruction
ขณะที่แบบจำลองของ Aghion และ Howitt นั้น อนุญาตให้เกิดการแทนที่ (replace) ของเดิมที่ล้าหลังด้วยของใหม่ที่ดีกว่า ซึ่งหมายรวมถึงการเพิ่มขึ้นของคุณภาพ (quality improvement) ในสินค้าขั้นกลาง
นัยเชิงนโยบายนั้นค่อนข้างซับซ้อน ในกรณีที่มีการแข่งขันกันสูง กำไรหรือผลประโยชน์จากการลงทุนในนวัตกรรมคือแรงจูงใจชั้นดีของผู้คิดค้นนวัตกรรม ผลตอบแทนเหล่านี้แม้จะสูงในช่วงแรกแต่ก็จะลดลงในที่สุดหลังจากเกิดการกระจายของความรู้ (knowledge diffusion) หลังจากนั้น ผลประโยชน์เหล่านี้ (Aghion และ Howitt เรียกว่า monopoly rents) จะถูกทำลายโดยนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มาแทนที่ของเดิม
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไม่มีการแข่งขันระหว่างบริษัทนั้น บริษัทที่เป็นเจ้าของนวัตกรรมได้ประโยชน์จาก monopoly และอาจมีแรงจูงใจน้อยลงในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
ดังนั้น แม้กฎหมายที่ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาหรือการจดสิทธิบัตรจะทำให้เกิดการแข่งขันและสร้างนวัตกรรม แต่การปกป้องที่มากเกินไปจนทำให้เกิดการผูกขาด อาจทำให้การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเกิดขึ้นช้าลง การส่งเสริมการแข่งขันจึงต้องผนวกรวมเข้ากับการส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมเพื่อให้เกิด creative destruction
การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual property rights) หรือการใช้สิทธิบัตรนั้น ทำให้บริษัทสามารถแสวงหากำไรจากนวัตกรรรมที่เกิดขึ้น และส่งเสริมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ในโลกของโลกาภิวัฒน์นั้น การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญามีความซับซ้อนขึ้น หากนวัตกรรมเหล่านั้นถูกปกป้องในทุก ๆ ที่ (เช่น ทุกประเทศ) ผู้คิดค้นนวัตกรรมก็จะได้กำไรมากขึ้น มีแรงจูงใจในการคิดค้นอะไรใหม่ ๆ แต่การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาอาจทำให้ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งไม่ได้เป็นผู้นำทางเทคโนโลยีต้องจ่ายแพงสำหรับสิทธิการใช้แนวคิดหรือไอเดียใหม่ ๆ และทำให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีเกิดขึ้นช้าลง หรือทำให้ประเทศกำลังพัฒนาติดหล่มการพัฒนาและไม่สามารถ catch up กับประเทศที่พัฒนาแล้วได้
นอกจากนั้น งานวิจัยเชิงประจักษ์ยังไม่ชัดเจนนักว่าการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาให้คุณหรือโทษกับประเทศกำลังพัฒนามากกว่ากัน นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีบางอย่าง แม้จะใช้ได้ฟรีหรือได้รับการสนับสนุน (subsidy) แต่ระดับการพัฒนาประเทศอาจไม่มากพอที่จะใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ข้อถกเถียงเรื่องผลกระทบของ IPR ต่อประเทศกำลังพัฒนาจึงยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่อยากนำมาเล่า คืองานของ Zanello et al. (2016) ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Economic Surveys ทำการสำรวจการเกิดขึ้น (Creation) และการกระจาย (Diffusion) ของนวัตกรรมในประเทศกำลังพัฒนา งานวิจัยทำการแบ่งอุปสรรคที่ขัดขวางให้เกิดนวัตกรรมในประเทศกำลังพัฒนาออกเป็น 2 กลุ่ม คือ อุปสรรคภายนอกบริษัทและอุปสรรคภายในบริษัท อุปสรรคภายนอกประกอบด้วยข้อจำกัดทางการเมือง (ระบบการเมืองที่อ่อนแอ ปัญหาคอร์รัปชัน) เศรษฐกิจ (ระดับการพัฒนาประเทศ ระดับการเปิดประเทศ โครงสร้างพื้นฐาน) สถาบัน (สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบริษัทเอกชนกับสถาบันการศึกษา) และวัฒนธรรม (ความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรม) ของประเทศกำลังพัฒนา
นอกจากนั้น ยังระบุถึงช่องทางของการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศที่พัฒนาแล้วไปยังประเทศกำลังพัฒนา ได้แก่ การค้าระหว่างประเทศ การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ การย้ายถิ่นฐาน และการให้ใบอนุญาต (licensing) สำหรับการใช้เทคโนโลยี ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการส่งเสริมการเกิดขึ้นของนวัตกรรมและการแพร่หลายของนวัตกรรมสามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและระดับของการพัฒนาประเทศ
เมื่อดูทิศทางของรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ พบว่าปีนี้เป็นปีที่สองติดต่อกันที่มีการมอบรางวัลให้กับนักเศรษฐศาสตร์ที่มุ่งศึกษาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ผมคิดว่า รางวัลโนเบลในปีนี้มันคือการสื่อสารกับผู้กำหนดนโยบายและรัฐบาล ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบต่อเนื่อง (sustained economic growth) ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นผลมาจากการลงทุนลงแรงและความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชน ซึ่งไม่ได้มีแค่การส่งเสริมและสนับสนุนเอกชนที่มี potential ในการคิดค้นและต่อยอดนวัตกรรม (ผ่านแรงจูงใจทางภาษีและอื่น ๆ) แต่รวมถึงการส่งเสริมความสามารถทางเทคโนโลยีของบริษัทท้องถิ่น (local technological capacity) และการสร้างนิเวศน์ที่เอื้อต่อการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ
ในบริบทของประเทศกำลังพัฒนาขนาดเล็กที่มีเศรษฐกิจแบบเปิด (Small, open economy) อย่างไทย การทุ่มเทงบประมาณไปยัง R&D เพื่อให้เกิดนวัตกรรมอาจต้องทำอย่างมีกลยุทธ์ ดูว่า sector ไหนที่มี potential และเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantage)
นอกจากนั้น การสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี (technology transfer) ผ่านการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศยังคงจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระจายเทคโนโลยีในประเทศ
อย่างไรก็ตาม การสร้างระบบเชิงสถาบันที่เอื้อต่อการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ อาจไม่ได้จำกัดอยู่สาขาที่เกี่ยวข้องกับ R&D เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงระบบการศึกษาทั้งระบบที่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี ไม่ตีกรอบความคิด และไม่มีบทลงโทษในกรณีที่เห็นต่าง จึงจะถือว่าเป็นการถอดบทเรียนจากทั้ง Mokyr Aghion และ Howitt
โดยสรุป รางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ในปีนี้ย้ำเตือนให้เราให้ความสำคัญกับรากฐาน (foundation) ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างนวัตกรรม ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับโจทย์ระยะสั้นอย่างการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินที่เมื่อกระสุนหมด เศรษฐกิจก็กลับสู่สภาวะเดิม เพราะ shocks ทางเศรษฐกิจเหล่านั้นไม่ได้ช่วยสร้างให้เกิดนวัตกรรมแต่อย่างใด




