ในวันที่ 16 สิงหาคม ถือเป็นวันสันติภาพไทย จากการประกาศยุติการเข้าร่วม สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2488 นถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 80 ปี แต่การเฉลิมฉลองวันแห่งสันติภาพในปีนี้ เกิดขึ้นท่ามกลาง กระแสชาตินิยม และความเกลียดชังเพื่อนบ้าน จากเหตุปะทะไทย – กัมพูชา
โครงการ Peace Festival Week ที่จัดโดยสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานวันสันติภาพไทยเพื่อบอกเรื่องราวประวัติศาสตร์การสร้างชาตินิยม เพื่อบอกถึง ความเกลียดชัง และสงครามไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ประชาชนได้ประโยชน์ โดยการปาฐกถา 80 วันสันติภาพไทย สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย ของ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ธำรงศักดิ์ เริ่มต้นการเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาตินิยมเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ กระแสชาตินิยม จากข้อพิพาทระหว่างไทย- กัมพูชา โดยย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์เมื่อ 80 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างไทย กัมพูชามีความเกี่ยวเนื่องจากสงครามเมื่อ 80 กว่าปีที่แล้ว และเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องต่อมาถึงศตวรรษด้วยกัน
ประวัติศาสตร์ชาตินิยม จากภาพพลพรรคเสรีไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง พลพรรคเสรีไทนจำนวนกว่า 8 หมื่นคน ออกมาเดินสวนสนามที่ถนนราชดำเนินกลางในวันที่ 25 กันยายน 2488
การเดินสวนสนามดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากวันที่ 16 สิงหาคม 2488 ซึ่งเป็นวันที่ ญี่ปุ่นประกาศเลิกสงคราม ขณะที่ในวันที่ 15 สิงหาคม 2488 ถือเป็นวันที่มีการยุติสงครามโลกครั้งที่สอง
และไทยประกาศ “สันติภาพ”ทันที แต่ การประกาศสันติภาพอย่างเดียวไม่ได้มีผลต่อสันติภาพที่เกิดขึ้นในไทย เนื่องจากตามสถานะทางกฎหมายแล้ว ประเทศไทยถือเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม
แต่ไทยจะทำอย่างไรให้การแพ้สงครามในครั้งนั้นลดหย่อนความรุนแรงลงไปได้ พลพรรคเสรีไทยจึงรวมตัววกันเพื่อแสดงให้เห็นถึงขบวนการเสรีไทยที่ได้ต่อสู้เคลื่อนไหวตลอดใน 3-4 ปีของการทำสงครามนั้นเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น
การเดินสวนสนามของพลพรรคเสรี ไทยจึงมีเป้าหมายที่ต้องการสื่อสารออกไปยังต่างประเทศเทศ เพื่อแสดงให้ สหรัฐ อังกฤษ จีน ให้เห็นว่า เรามีขบวนการที่เตรียมตัวที่จะลุกขึ้นสู่และต่อต้านประเทศญี่ปุ่นที่รุกรานประเทศไทย
“พลพรรคเสรีไทยมีเป้าหมาย คือการรักษาเอกราช เพราะความจริงแล้ว รัฐบาลในขณะนั้นนำประเทศเข้าสู่สงคราม ซึ่งหากลองถามคนรุ่นใหม่ว่าประเทศไทยอยู่ฝ่ายไหนของสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งคำตอบที่ได้คือประเทศไทยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรแล้ว แต่ความจริงในขณะนั้น คือไทยในรัฐบาลจอพลป.พิบูลสงครามนั้น เป็นพันธมิตรร่วมรบกับฝ่ายอักษะ ญี่ปุ่น เยอรมัน และอิตาลี และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ สหรัฐ อังกฤษ ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นประวัติศาสตร์เล่นตลกกับเรา”
ประวัติศาสตร์ เสรีไทยที่หายไป
ขณะที่กระบวนการสร้างชาตินิยมของไทย ทำให้หลายเหตุการณ์ของประวัติศาสตร์ที่หล่นหายไปจากบทเรียนไทย โดยจะพบว่าบทเรียนประวัติศาสตร์ ทั้งในระดับชั้นประถม มัธยม จะพบว่า ในหน้าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่มีคำว่า “สงคราม”เลยแม้แต่น้อย และไม่กล่าวถึงงการต่อสู้ของกองทัพไทย แต่จะกล่าวถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
เนื้อหาในสงครามโลกครั้งที่สองในแบบเรียนไม่เคยทำให้เราจดจำได้เลยว่าเราทำอะไรในขณะนั้น และเราไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าทำไมกองเรือของญี่ปุ่นบุกเข้าอ่าวไทยและขึ้นที่บางปูได้โดยที่ไม่มีกองเรือของไทยปะทะเลยในอ่าวไทย
“ในการเรียนประวัติศาสตร์ไทย เราถูกทำให้ลืมคำถามเหล่านี้แต่พูดเรื่องกระทบ เราไม่มีคำถามว่าเลยว่า ทำไมกองทัพญี่ปุ่นที่บุกมาทางพระตะบอง และอรัญประเทศนั้น จึงไม่ถูกปะทะโดยกองทัพไทย และนี้คือสิ่งที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นเรื่องราวของเสรีไทยจึงหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน”
สันติภาพที่หล่นหายจากประวัติศาสตร์
เสรีไทย เป็นขบวนการใต้ดิน ซึ่งเป้าหมายที่ขัดเจนของเสรีไทย คือทำอย่างไรจะปกป้องเอกราชของไทยเอาไว้ เมื่อสงครามยุติลง เนื่องจาก “ปรีดี พนมยงค์” เชื่อว่าญี่ปุ่นน่าจะแพ้สงคราม ขณะที่รัฐบาลทหารไทยเชื่อว่าญี่ปุ่นน่าจะเป็นฝ่ายชนะ
การเดินสวนสนามของพลพรรคเสรีไทย ที่ถนนราชดำเนินและมีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ การประกาศชัยชนะของ คณะราษฎร ในการปฏิวัติ 25475 โดยสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 24 มิถุนายน 2482 เพื่อประกาศว่านี้คือการบรรลุเป้าหมาย 1 ใน 6 ข้อของคณะราษฎร นั่นคือหลักเอกราช
“ เราถูกสอนวาประเทศไทยไม่เคยเสียเอกราชให้กับใคร แต่ในความเป็นจริงคนในยุคเมื่อ100 ปีที่ผ่านมาพยายามจะอธิบายตัวเองว่าไทยเป็นประเทศที่เอกราชไม่สมบูรณ์ แม้ไทยจะไม่ได้เป็นประเทศอณานิคมแบบเดียวกับ พม่า ลาว หรือ อินโดนีเซียที่มีคนขาวเข้ามาปกครอง แต่ไทยเป็นอาณานิคมผ่าน”สนธิสัญญา”และกฎหมาย จุดเริ่มต้นของการเป็นประเทศกึ่งอาณานิคม จากสนธิสัญญาเบาว์ริง 2398 โดยเรามักจะถูกอธิบายนั้นเรียนว่า เราเสียสิทธิสภาพนอกอนาณาเขต”
ดังนั้นคณะราษฎร ปี2475 จึงมีนโยบายข้อแรกของการสร้างชาติคือการสร้างเอกราชในทุกด้าน ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้ คนไทยยังขาดความเข้าใจเนื่องจากเราได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการอธิบายประวัติศาสตร์ว่า เราเป็นประเทศที่มีเอกราช
เมื่อคณะราษฎร โดยปรีดี พนมยงค์ ได้ทำการแก้ไขสนธิสัญญาที่ทำไว้กับอีก 15 ประเทศได้สำเร็จ จึงประกาศและสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นหมุดหมายของการฉลองเอกราช และให้ 24 มิถุนายนเป็นวันชาติในปี 2482 และประกาศให้เป็นวันหยุด 3 วัน เพื่อฉลอง วันชาติ และเอกราชที่สมบูรณ์ของไทย
“นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น และในหน้าประวัติศาสตร์จะถูกลบเลื่อนหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ”
สำหรับนโยบาย 6 ข้อของคณะราษฎร ประกอบด้วย 1 เอกราช 2 ความปลอดภัยประชาชน เหนือสิ่งอื่นใด 3 เศรษฐกิจ ที่ทุกคนมีงานทำทุกคนมีงายทำ และทุกคนจะมีเงินเดือนขั้นต่ำไปตลอดชีวิต 4 หลัก สิทธิเสรีภาพ 5 หลัก เสมอภาค 6 หลักการศึกษา โดยแนวทางทั้ง6 ข้อคือการประกาศชัยชนะของคณะราษฎร
นอกจากนั้นคณะราษฎรยังประกาศให้วันที่ 10 ธันวาคม 2482 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญเป็นวันหยุดอีก 3 วัน ดังนั้นในช่วงปี 2482 เป็นต้นมา ประเทศไทยจึงมีวันหยุดที่เกี่ยวกับชาติ และประชาชนรวมกันถึง 6 วัน
“ ประวัติศาสตร์ของวันหยุดเหล่านี้ถูกลบเลือนหายไป ตอนนี้หลือแค่วันรัฐธรรมนูญ 1วัน ส่วนวันชาติ 24 มิถุยนายน ก็ตายจากไปเสียแล้ว”
การสร้าง “ราชาชาตินิยม”
ประวัติศาสตร์การสร้างชาติในอดีตสามารถอธิบายได้ถึงปรากฎการณ์ “คลั่งชาติ” หรือ ชาตินิยมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เนื่องจากในความเป็นจริงแล้วข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างเพื่อนบ้านของไทยมีทุกด้าน ไม่ใช่เฉพาะไทย-กัมพูชา ดังนั้นหากทำความเข้าใจประวัติศาสตร์จะทำให้เราเข้าใจความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านในมุมมองของสันติภาพได้
ธำรงศักดิ์ บอกว่า หากต้องการทำความเข้าใจความรู้สึกชาตินิยมของไทยว่าเป็นอย่างไร โดยพลพรรคเสรีไทยก็ถือเป็นหนึ่งในขบวนการชาตินิยม แต่ชาติยมไทยที่เราถูกสร้างกันมาตลอดศตวรรษ อาจจะไม่ใช่ชาตินิยมเพื่อประชาชน
ชาตินิยมที่ถูกปลุกมากกว่า ศตวรรษ ชาตินิยมแรกคือ “ราชาชาตินิยม” ที่ทำให้รวมใจกันยกย่องสถานะอันสูงสุดของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเหมือนศูนย์กลาง ซึ่งพัฒนาการราชาชาตินิยมเริ่มขึ้นในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 6 ผ่านกระบวนการสร้างการศึกษา ซึ่งใช้พระราชพงศาวดาร มาเป็นเนื้อหาในการเรียนการสอน
เนื้อหาจากพงศาวดาร เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ทั้งหมด ดังนั้นกระบวนการมในการสร้าง”ฮี่โร่”ในยุคแรการสร้างในยุคแรกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือ ฮี่โร่ ที่เป็นพระมหากษัตริย์ โดยฮี่โร่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาจะผ่านการทำสงครามสร้างอยุธยา ทำให้ปลดปล่อยจากพม่า และการเริ่มต้นยุคใหม่ของ รัตนโกสินทร์
ดังนั้นในหน้าประวัติศาสตร์ จึงค้นพบว่า มีเรื่องราวของพระนเรศวร ซึ่งมีรายละเอียดมากในพระราชพงศาวดาร โดยเฉพาะเรื่องราวของพระนเรศวร การชนช้างกับพระมหาอุปราช รัชกาลที่ 6 ได้นำภาพดังกล่าวเข้าไปในหนังสือเรียน และในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้สร้างวัดแห่งหนึ่งขึ้นมา สุวรรณดารารามราชวรวิหาร ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดราชวงศ์จักรีในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยมีการสร้างภาพพระนเรศวรชนช้างเป็นสร้างฉากใหญ่ และภาพประวัติศาสตร์ดังกล่าวถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยพระนเรศวร เป็น ฮีโร่พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ไทย
“เราต้องตั้งคำถามว่า เวลาเราอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ และกล่าวถึงการสงคราม เราไม่เคยเห็นภาพสงครามสมัยใหม่ของกองทัพไทย เพราะบทเรียนของเราจะพาเราไปสู่พระนเรศวรเป็นสำคัญทำให้เราไม่เห็นการรบ การรุกในสมัยใหม่จากหนังสือเรียนของเราเลย”
ในแบบเรียนของไทย เมื่อเราพูดถึงการต่อสู้ ศึกสงครามเรามักจะกลับไปที่เรื่องของการเสียกรุงศรีอยุธยา และสมเด็จพระนเรศวรเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจะตั้งคำถามได้ว่าประวัติศาสตร์อาจจะมีปัญหาบางประการหรือไม่
เลือดสุพรรณ – บางระจัน “ฮีโร่สามัญชน”
อย่างไรก็ตามในการสร้างฮีโร่ที่เป็นประชาชนผ่านนิยาย 2 เรื่อง โดยเรื่องแรก คือ เลือดสุพรรณ เป็นละครที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติ 2475 ที่คณะราษฎร ต้องการสร้างฮีโร่ แบบสามัญชนจากที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สร้าง “ฮีโร่”ที่เป็นกษัตริย์
คณะราษฎรต้องการสร้างชาติ โดยให้ประชาชนร่วมสร้างชาติด้วย ดังนั้น กรมศิลปากร จึงกสร้างขึ้น โดยมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นอธิบดี และได้รับมอบหมายสร้างละครรักชาติปี 2479 ด้วยเรื่อง เลือดสุพรรณ และนำเอาเพลงตะวันตกมาใช้ในหนังเลือดสุพรรณ ทำให้กลายเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจ และทำให้คนรักชาติมากที่สุด
ในเรื่องนี้ ได้ให้ผู้หญิงที่เป็นตัวเอก ไม่ใช่ผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงขึ้นมาอยู่แถวหน้า โดยคณะราษฎรทำให้ผู้หญิงมีสิทธิเลือกตั้ง โดยหลวงวิจิตรฯได้เลือกเป็นเรื่องเลือดสุพรรณ เพราะไม่ต้องการให้ถูกดึงกลับไปที่ อยุธยา ที่ตัวเอกของเรื่องคือกษัตริย์
ส่วนเรื่องที่สอง คือ บางระจัน ซึ่งคือหมู่บ้านหนึ่งที่ต่อสู้กับพม่าเพื่อปกป้องอยุธยา โดยมีตัวเอกที่เป็นชาวบ้านโดยในพระราชพงศาวดารเดิมจะมีตัวเอกเป็นชาวบ้านไม่กี่คน กระทั่งในสมัย ร.4 ได้เพิ่มตัวเอก คือ นายจันทร์หนวดเขี้ยว และนำแต่งบทกลอนบางระจันในสมัย ร.7 มาใช้ในบทเรียน และหลังปฏิวัติ 2475 ไม้เมืองเดิมนำมาสร้างตัวละครใหม่เป็นศึกบางระจันขึ้นมา มีนายทัพ กับน้องแผง และสร้างความประทับใจกับคนไทยที่ต่อสู้กับพม่าจนตัวตาย
ความตายของสามัญชนทำให้คนไทยรู้สึกสลดใจ จนทำให้มีการสร้างเป็นหนังปี 2508 และ ปี 2509 เป็นศึกบางระจัน ซึ่งการสร้างหนังในเรื่องนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากในอเมริกากำลังทำสงครามเวียดนามในปี 2507 และรัฐบาลไทยถูกตัดเงินช่วยเหลือจากอเมริกา โดยเมื่อมีสงครามเวียดนาม จึงเข้าร่วมสงครามเวียดนาม โดยนำประเด็นปัญหาคอมมิวนิสต์เข้ามาใช้เป็นประเด็นหลัก และดึงหนังเรื่องบางระจันขึ้นมา เพื่อปลุกความเป็นชาตินิยมจากการป้องกนคอมมิวนิสต์ ประชาชนต้องลุกขึ้นสู้เพื่อไม่ให้สถาบันต่างๆต้องล้มลง มันจึงทำให้มีการสร้างอนุสาวรีย์บางระจันในปี 2509 เพื่อเป็นหลักหมายว่า เราต้องปกป้องชาติแบบตัวตายทักคน
วาทกรรมเสียดินแดน 14 ครั้งมาจากไหน?
ขณะเดียวกับการสร้างชาติ ถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันธ์กับ”วาทกรรมเสียดินแดน”โดยไทยมีการสร้างวาทกรรมเสียดินแดนทั้งหมด 8 ครั้งในปี 2482 โดยกรมแผนที่ทหาร กองทัพบก
แต่ก่อนหน้านั้นในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในสมัยรัชกาลที่ 5 -6 -7 ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องการเสียดินแดนเพราะวิธีการมองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นการมองเมืองใหญ่ ,กรุงใหญ่กับประเทศราช
ในช่วงของรัชกาลที่ 5 ที่มีการเซ็นสัญญากับอังกฤษ พระองค์ทรงตรัสว่า เราจะได้ยุติการเป็นะเทศราช และดินแดนต่างๆจะเป็นของเราตามสนธิสัญญาที่เจรจากันไว้
สนธิสัญญา ซึ่งเส้นเขตแดนเส้นแรกของไทยเริ่มขึ้นเมื่ออังกฤษรบกับพม่า และอังกฤษได้ตะนาววสี แต่ไทยในยุคของจอมพลป.บอกว่าเราเสียดินแดน แต่คำถามคือ ไทยได้ดินแดนมาเมื่อไหร และเราเริ่มต้นจากการที่ทั้งหมดเป็นของเราและได้เสียดินแดนไป
หลังจากเสียดินแดน 8 ครั้ง และถูกสอนมาตลอดในโรงเรียน จนกระทั่งเกิดกระบวนการขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช กรณีที่ไปสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก จนมีกระบวนการหนึ่งสร้างชุดข้อมูลใหม่ในกูเกิล และยูทูปว่าไทยเสียดินแดงทั้งหมด 14 ครั้ง
“ที่ผานมาตลอด 70 ปีเราสอนว่าประเทศไทยเสียดินแดน 8 ครั้ง แต่เราพึ่งการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ว่ามีการเสียดินแดน 14 ครั้งมาจากไหน และเมื่อ 5 ปีที่แล้ ผู้นำกองทัพมาบรรยายการเสียดินแดน 14 ครั้ง แต่คำถามคือ 8 ครั้งอธิบายไม่ได้เลยว่าเสียพื้นที่ไหนบ้าง แล้วการเสียดินแดน14 ครั้งจะอธิบายอย่างไร และนั่นอาจหมายถึงดินแดนของไทยที่เสียไปถึงเชียงรุ้งหรือไม่”
“ปรีดี”สร้างพระเจ้าช้างเผือกเพื่อสันติภาพ
การสร้างชาตินิยมในมุมมองสันติภาพในสงครามโลกครั้งที่สอง ของปรีดี พนมยงค์ ได้สร้างพระเจ้าช้างเผือกที่ต้องการสื่อสารกับ อังกฤษ และอเมริกา ว่าการที่ไทยถูกรุกรานไม่ปรารถนาที่จะทำสงคราม ไม่ได้เป็นศัตรู กับ ประชาชนของชาติใด
แต่เขาจะเป็นศัตรูของผู้นำของชาตินั้น เขาไม่ต้องการรบกับประชาชนของชาติใด แต่เขาต้องการรบกับผู้นำของชาตินั้น ดังนั้นการสร้างพระเจ้าช้างเผือก เพื่อจะบอกกับชาวโลกว่า ไทยไม่ต้องการสงคราม
ขณะที่ พลพรรคเสรีไทยที่ปรีดี บอกคือ ทุกท่านไม่ได้กู้ชาติแต่เป็นคนรักชาติ เพื่อบอกเรื่องราวการต่อสู้เพื่อเอกราช และสันติภาพไปยังลูกหลาน แต่เรื่องราวของเสรีไทยไม่ได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์แต่หายไป เพราะว่ามีการรัฐประหาร ปี 2490 ทำให้เรื่องราวของพลพรรคเสรีไทยหายไป จากการใช้ความรุนแรงในกากำจัดศัตรูทางการเมือง
ในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้ ปรีดี พนมยงค์ต้องหนีออกนอกประเทศและ และ 4 รัฐมนตรี อีสาน ที่ถือเป็นขุนพลเสรีไทยในเขตภาคอีสาน โดย 4 อดีตรัฐมนตรี พ.ศ. 2492 คือการสังหารทองเปลว ชลภูมิ, ทองอินทร์ ภูริพัฒน์, ถวิล อุดล, และจำลอง ดาวเรือง และ นายเตียง ศิริขันธ์ ส.ส. สกลนคร ที่ถูกฆ่ารัดคอและเผาทิ้ง ที่ กาญจนบุรี
นี้คือชะตากรรมของเสรีไทยที่เกิดขึ้น และส่งผลให้เรื่องราวของเสรีไทยไม่มีใครกล้ากล่าวถึงหลัง2475 เนื่องจากฝากอำนาจเผด็จการที่ไล่ล่าศัตรูทางการเมือง
“สงคราม”คือความรุนแรง “สันติภาพ” สู่ประชาธิปไตย
ทั้งนี้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความรุนแรง การรัฐประหารที่ในรอบ 93 ปีมีการรัฐหาร 13 ครั้งเฉลี่ยทุก 7 ปี และ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อาจจะหมายถึงการรัฐประหารที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 14 หรือไม่
มรดกแห่งความรุนแรงทางการเมืองและรัฐบาลเผด็จการไทยเกิดขึ้นในช่วง 14 ตุลาคม 16 และ 6 ตุลาคม 19 และ พฤษภาทมิฬ 35 และเหตุการณ์ปราบเสื้อแดงในเดือนเมษา -พฤษภา ปี53 และในรอบ 50 ปีมานี้เรามีการใช้ความรุนแรงและความตายบนท้องถนน 4 ครั้งไม่นับความรุนแรงภาคใต้ และมีนักโทษการเมือง รวมถึงประเทศไทยมีนักโทษทางการเมือง ที่อยู่ในคุกปกติ และคนลี้ภัยทางการเมืองจำนวนมาก
นอกจากใช้ความรุนแรง แล้วเรายังใช้กระบวนการกฎหมาย ยุบพรรค ตัดสิทธินักการเมือง นี้คือการทำลายกระบวนการทางการเมืองแบบประชาธิปไตย แต่การเดินทางมา 93 ปีนั้น ทำให้เราต้องเรียนรู้คือ การทำให้เรามีทัศนะว่าด้วย ราชาชาตินิยม หรือ ชาตินิยมลัทธิทหาร ไม่ได้เกิดขึ้นเอง
แต่ขบวนการชาตินิยมถูกกล่อมเกลา จากนิยาย นิทาน บทเพลงที่ทำให้ราวกับว่าเป็นประวัติศาสตร์ แต่ความจริวไม่ใช่เลย ดังนั้นผู้ที่เชื่อในเสรีภาพ และสันติภาพ จะหยุดพูดไม่ได้ต้องพูดไม่ได้ ต้องส่งเสียง เพราะสงครามนำมาซึ่งความรุนแรง แต่สันติภาพจะนำมาซึ่งประชาธิปไตย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: