ในภาคการศึกษานี้ ผู้เขียนได้รับหน้าที่สอนรายวิชาพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ และการเลือกตั้งสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี จึงได้มีโอกาสกลับไปทบทวนงานศึกษาทางวิชาการหลายชิ้น ทั้งในเชิงแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยเชิงประจักษ์
หนึ่งในหัวข้อสำคัญที่ผู้เขียนใช้ในการเรียนการสอน คือเรื่อง “ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง” ซึ่งถือเป็นแนวคิดพื้นฐานที่สุดของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
บทความนี้จึงอยากชวนผู้อ่านทำความเข้าใจว่า “ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง” คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญกว่าการมองเพียงแค่เรื่อง “การทุจริต” หรือ “การซื้อเสียง” เพราะแท้จริงแล้ว แนวคิดนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเลือกตั้งที่โปร่งใสกับความชอบธรรมและเสถียรภาพทางการเมือง รวมถึงการสร้างเสริมส่วนร่วมของประชาชน
แนวคิดเรื่องความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง
ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง (Electoral Integrity) เป็นแนวคิดที่พัฒนาอย่างเป็นระบบและเสนอในหนังสือ Why Electoral Integrity Matters เขียนโดย Pippa Norris นักรัฐศาสตร์ชั้นนำจาก Harvard Kennedy School ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2014 โดยเริ่มต้นจากข้อสังเกตสำคัญว่า การเลือกตั้งจำนวนมากทั่วโลกยังมีข้อบกพร่องอย่างร้ายแรง หรือแม้กระทั่งล้มเหลว ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้มีอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง ทำให้ผู้คนเบื่อหน่ายการเมือง เกิดการประท้วง หรืออาจนำไปสู่ความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในที่สุด
อีกทั้งงานศึกษาทางวิชาการก่อนหน้านั้นยังขาดหลักฐานเชิงเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบที่สามารถทดสอบข้อสังเกตเหล่านี้ในระดับข้ามประเทศได้อย่างจริงจัง หนังสือเล่มนี้จึงมุ่งสร้างกรอบการศึกษาเชิงประจักษ์ที่เป็นสากลเพื่อวิเคราะห์และอธิบายว่า “คุณภาพของการเลือกตั้ง” ส่งผลอย่างไรต่อ ความชอบธรรมของรัฐบาล เสถียรภาพทางการเมือง และความเข้มแข็งของประชาธิปไตย[1]
ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง (Electoral Integrity) หมายถึง มาตรฐานและบรรทัดฐานสากลที่ประเทศต่าง ๆ ยึดถือร่วมกัน เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และยุติธรรมในทุกขั้นตอนในช่วงเวลาการเลือกตั้ง ครอบคลุมตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้ง การหาเสียง วันลงคะแนน ไปจนถึงการประกาศและการยอมรับผลการเลือกตั้ง
แนวคิดนี้ตรงข้ามกับ การเลือกตั้งที่ขาดความสุจริตเที่ยงธรรม (Electoral Malpractice) ซึ่งหมายถึงการละเมิดหลักการดังกล่าว ไม่ว่าจะเกิดจากการทุจริตโดยเจตนาหรือจากความบกพร่องในการบริหารจัดการ
Norris ชี้ว่า แนวคิดเรื่องความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้งมีความครอบคลุมกว่านิยามแบบแคบอย่าง “การทุจริตเลือกตั้ง” ที่มักจำกัดอยู่เพียงการกระทำผิดกฎหมาย เช่น การซื้อเสียงหรือการยัดบัตรเลือกตั้ง เพราะแม้การเลือกตั้งจะดำเนินไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีประสิทธิภาพทางเทคนิค ก็ยังอาจละเมิดหลักศีลธรรมทางการเมือง หรือมาตรฐานสากลของประชาธิปไตยได้เช่นกัน
แนวคิดเรื่อง ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง (Electoral Integrity) มีรากฐานจากอนุสัญญาและปฏิญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่รับรองสิทธิของประชาชนในการเลือกตั้ง เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ. 1948 ข้อ 21 ซึ่งระบุว่า “เจตจำนงของประชาชนเป็นรากฐานแห่งอำนาจของรัฐบาล และต้องแสดงออกผ่านการเลือกตั้งที่แท้จริง อย่างสม่ำเสมอ โดยใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างเท่าเทียมและลงคะแนนโดยลับ” รวมถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966 ข้อ 25 ที่ขยายความสิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงหรือผ่านผู้แทนที่เลือกตั้งอย่างเสรี
นอกจากนี้ยังมีกติกาสากลในระดับภูมิภาค เช่น กฎบัตรแอฟริกาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิของประชาชน ค.ศ. 1981 อนุสัญญาสิทธิมนุษยชนแห่งทวีปอเมริกา ค.ศ. 1969 ปฏิญญาฮาราเร ค.ศ. 1991 และ ประมวลแนวปฏิบัติที่ดีด้านการเลือกตั้งของคณะกรรมาธิการเวนิส ค.ศ. 2002 เป็นต้น
ความสำคัญของความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง
ในหนังสือ Why Electoral Integrity Matters ได้นำเสนอแบบจำลองทางทฤษฎีที่อธิบายว่า คุณภาพของการเลือกตั้งส่งผลต่อระบอบประชาธิปไตยในหลายมิติอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากความสุจริตเที่ยงธรรมของกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งมีอิทธิพลต่อความชอบธรรมของระบอบ ความไว้วางใจของประชาชน การมีส่วนร่วมทางการเมือง ตลอดจนความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศ ทั้งนี้สามารถอธิบายได้เป็นลำดับดังต่อไปนี้
- การเลือกตั้งที่ดำเนินไปตามมาตรฐานสากล เสรี เป็นธรรม ครอบคลุม และโปร่งใส ย่อมทำให้ประชาชนมองว่ากระบวนการดังกล่าว “ชอบธรรม” และเชื่อถือได้ ในทางกลับกัน หากการเลือกตั้งเต็มไปด้วยการทุจริต การลำเอียง หรือการจัดการที่ผิดพลาด ย่อมทำให้ประชาชนรับรู้ว่ากระบวนการนั้น “ไม่เป็นธรรม” และเริ่มตั้งคำถามต่อระบบการเมืองโดยรวม
- เมื่อประชาชนเชื่อว่าการเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม จะยอมรับผลการเลือกตั้ง เคารพกติกา และเชื่อมั่นในสถาบันทางการเมือง แต่หากมองเห็นความไม่โปร่งใสหรือการบิดเบือน ความศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยย่อมสั่นคลอนอย่างมีนัยสำคัญ
- ระดับของความสุจริตเที่ยงธรรมยังส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน การเลือกตั้งที่โปร่งใสทำให้คนอยากออกมาใช้สิทธิ์มากขึ้นและปฏิบัติตามกฎหมายโดยสมัครใจ แต่หากการเลือกตั้งไม่เป็นธรรม ความผิดหวังจะนำไปสู่ความเฉยชา การงดออกเสียง หรือการออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านผลการเลือกตั้ง
- ในประเทศที่สถาบันการเมืองยังเปราะบาง การเลือกตั้งที่ขาดความสุจริตเที่ยงธรรมอาจจุดชนวนความรุนแรงและความไม่มั่นคงได้ เช่น เหตุการณ์ในเคนยา (2007) ซิมบับเว (2008) และไนจีเรีย (2011) ที่ข้อพิพาทหลังการเลือกตั้งนำไปสู่การจลาจลและการสูญเสียชีวิต ในทางตรงข้าม การเลือกตั้งที่โปร่งใสและเป็นธรรมช่วยคลี่คลายความขัดแย้งอย่างสันติ และสร้างเสถียรภาพให้สังคม
- ผลกระทบของความสุจริตเที่ยงธรรมยังขยายไปถึง “ทิศทางของระบอบการเมือง” เมื่อประชาชนไม่พอใจกับการเลือกตั้งที่บกพร่อง อาจนำไปสู่สามทางเลือก คือ (1) การปฏิรูปสถาบันการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น (2) การกดขี่ปราบปรามโดยอำนาจรัฐ หรือ (3) การลุกฮือของประชาชนที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง มิได้เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง แต่เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สะท้อน “เจตจำนงของประชาชน” การเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรมจึงไม่เพียงรับรองความถูกต้องตามกฎหมาย หากยังเป็นหลักศีลธรรมทางการเมืองที่ค้ำจุนความชอบธรรมของระบอบประชาธิปไตย และเป็นรากฐานของประชาธิปไตยที่มีความชอบธรรม มั่นคง และมีส่วนร่วม เมื่อกระบวนการเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใส ประชาชนย่อมเชื่อมั่น ยอมรับผลลัพธ์ และร่วมมือกับรัฐบาล ส่งผลให้ประเทศมีเสถียรภาพ แต่หากการเลือกตั้งล้มเหลว ขาดความโปร่งใส ความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมทางการเมืองย่อมเสื่อมถอย และอาจนำไปสู่การประท้วง ความรุนแรง หรือแม้แต่การล่มสลายของระบอบการเมืองในที่สุด
ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง: ข้อค้นพบเชิงเปรียบเทียบ
จากการศึกษาในหนังสือ Why Electoral Integrity Matters พบว่า ระดับความสุจริตเที่ยงธรรมของการเลือกตั้งส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อความชอบธรรมของระบอบการเมือง พฤติกรรมของประชาชน ความมั่นคงทางการเมือง และทิศทางของประชาธิปไตยในระยะยาว
ประเทศที่ประชาชนรับรู้ว่าการเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใสและยุติธรรม มักมีความเชื่อมั่นสูงต่อสถาบันที่มาจากการเลือกตั้ง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้งและรัฐสภา มีความพึงพอใจต่อระบอบประชาธิปไตย และมีแนวโน้มเคารพกฎหมายมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากประชาชนรับรู้ถึงการทุจริตหรือการจัดการที่ไม่เป็นธรรม ความไว้วางใจต่อรัฐบาลและระบบการเมืองจะเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ การเลือกตั้งที่มีความสุจริตเที่ยงธรรมยังส่งเสริมให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์และมีส่วนร่วมทางการเมืองในเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น ขณะที่การเลือกตั้งที่ขาดความโปร่งใสกลับกระตุ้นให้เกิดการประท้วง การคว่ำบาตร หรือการเคลื่อนไหวทางการเมืองเชิงต่อต้าน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้แพ้การเลือกตั้งซึ่งมีแนวโน้มจะมองว่ากระบวนการไม่เป็นธรรม และช่องว่างทางการรับรู้ระหว่าง “ผู้ชนะ–ผู้แพ้” จะยิ่งขยายกว้างขึ้นเมื่อเกิดการทุจริตจริงในกระบวนการเลือกตั้ง
งานศึกษายังพบว่า การเลือกตั้งที่บกพร่องมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรุนแรงทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง เช่น ในเคนยา (2007) และไนจีเรีย (2011) ซึ่งการบิดเบือนผลการเลือกตั้งนำไปสู่การจลาจลและการสูญเสียชีวิต ในทางกลับกัน การเลือกตั้งที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือช่วยลดความเสี่ยงของความขัดแย้ง และส่งเสริมการแก้ไขปัญหาทางการเมืองด้วยสันติวิธี และในระยะยาว ระดับความสุจริตเที่ยงธรรมของการเลือกตั้งยังเป็นตัวกำหนดทิศทางของระบบการเมือง
ประเทศที่เผชิญการบิดเบือนการเลือกตั้งซ้ำซากอาจนำไปสู่ความเป็นไปได้สามรูปแบบ ได้แก่
- การปฏิรูปเพื่อยกระดับประชาธิปไตยให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
- การกดขี่ปราบปรามจากรัฐที่หวั่นสูญเสียอำนาจ หรือ
- การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองผ่านการลุกฮือของประชาชน ดังเช่นกรณีในยูเครน เวเนซุเอลา และประเทศไทยในช่วงเวลาต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์
การเสริมสร้างความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้งสามารถทำได้ผ่านการปฏิรูปเชิงสถาบันและเชิงนโยบาย เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เป็นอิสระและมีความเป็นมืออาชีพ การกำกับดูแลการใช้จ่ายในการหาเสียงอย่างโปร่งใส การเปิดโอกาสให้สื่อมีพื้นที่อย่างเท่าเทียม การแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างเป็นธรรม การจัดการข้อร้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ
ข้อค้นพบเหล่านี้นำไปสู่บทสรุปสำคัญว่า “การเลือกตั้งที่ดีสามารถเสริมสร้างประชาธิปไตยให้มั่นคงขึ้นได้ แต่การเลือกตั้งที่บกพร่องอาจทำลายความก้าวหน้าของประชาธิปไตยได้ในพริบตา”
ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้งไทย: บทเรียนและข้อเสนอแนะสำหรับการเลือกตั้ง 2569
ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้งไทย เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตและการซื้อเสียง ข้อค้นพบจากงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566” โดยสถาบันพระปกเกล้า[2] ซึ่งศึกษาครอบคลุม 10 จังหวัดทั่วประเทศ[3] พบว่า ปัญหาความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้งไทยยังคงเป็นประเด็นเชิงโครงสร้างและพฤติกรรมในหลายมิติ แม้มีการปรับระบบเลือกตั้งกลับมาใช้บัตร 2 ใบ เพื่อเพิ่มความชัดเจนในการเลือกผู้สมัครและพรรคการเมือง แต่กลับสร้างความสับสนในหมู่ประชาชน และเปิดช่องให้เกิดพฤติกรรมทุจริตรูปแบบใหม่ เช่น การซื้อเสียงเชิงนโยบาย การใช้อิทธิพลทางการเมืองและเครือข่ายหัวคะแนน รวมถึงการใช้ทุนและสื่อออนไลน์อย่างไม่เท่าเทียมกัน
การกำกับดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในหลายพื้นที่ยังขาดความเข้มแข็ง โดยเฉพาะด้านการตรวจสอบการใช้สื่อออนไลน์ การรับเรื่องร้องเรียน และความโปร่งใสในการนับคะแนน แม้จะมีองค์กรภาคประชาชนและสื่อมวลชนร่วมติดตามตรวจสอบ แต่ยังขาดกลไกประสานงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อผลการเลือกตั้ง
งานวิจัยดังกล่าวเสนอแนวทางพัฒนาในทิศทางเดียวกัน ได้แก่ เสริมความเป็นอิสระและศักยภาพของ กกต. และเจ้าหน้าที่ภาคสนาม, พัฒนาระบบติดตามตรวจสอบการใช้เงินหาเสียงและสื่อออนไลน์, สร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนเรื่องสิทธิเลือกตั้งและการปฏิเสธผลประโยชน์จากการซื้อเสียง, ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และสื่อมวลชน เพื่อสร้างเครือข่ายติดตามการเลือกตั้งอย่างยั่งยืน, สร้างเสริมวัฒนธรรมทางการเมืองให้เคารพกติกา โปร่งใส และรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
นอกจากนี้ รายงานของคณะผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งนานาชาติจากเครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (ANFREL) เรื่อง “การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ในประเทศไทย: ประชาธิปไตยบนทางแพร่ง” ชี้ว่า การเลือกตั้งปี 2566 มีความโปร่งใสและเป็นระเบียบมากกว่าปี 2562 แต่ยังเผชิญปัญหาด้าน “ความสุจริตเที่ยงธรรม” หลายประการ โดยเฉพาะการซื้อเสียงที่ยังฝังรากอยู่ในวัฒนธรรมการเมืองท้องถิ่น
แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะพยายามแก้ไขผ่านมาตรการรางวัลแจ้งเบาะแสและแอป “ตาสับปะรด” แต่ยังมีข้อจำกัดด้านความเชื่อมั่นและการบังคับใช้กฎหมาย รายงานยังพบความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงสื่อ การบิดเบือนข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย และข้อจำกัดเสรีภาพของสื่อ ซึ่งกระทบต่อความเป็นธรรมของการแข่งขันทางการเมือง
แม้บรรยากาศโดยรวมจะสงบ ปราศจากความรุนแรง และมีผู้มาใช้สิทธิสูงกว่า 75% แต่ยังมีข้อกังวลเรื่องความเข้าใจของประชาชนต่อข้อมูลเลือกตั้งและบทบาทของ กกต. โดย ANFREL เสนอให้ กกต. เพิ่มความโปร่งใสในการนับคะแนน เปิดโอกาสให้ผู้สังเกตการณ์และสื่อมวลชนเข้าถึงศูนย์นับคะแนน พัฒนาการสื่อสารข้อมูลที่เข้าใจง่าย จัดอบรมเจ้าหน้าที่ให้ทั่วถึง ส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อและการตรวจสอบข้อเท็จจริง และสนับสนุนการปฏิรูปกติกาและรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปสะท้อนเจตจำนงของประชาชนได้อย่างแท้จริง[4]
บทเรียนจากการเลือกตั้งปี 2566 สะท้อนว่า ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้งเป็นกระบวนการระยะยาวที่ต้องอาศัยการปรับปรุงกติกา เสริมสร้างสถาบัน และพัฒนาวัฒนธรรมทางการเมืองควบคู่กัน ในการเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน พรรคการเมือง กกต. และภาคประชาสังคม ควรแสดงเจตจำนงร่วมกันในการยกระดับมาตรฐานความสุจริตเที่ยงธรรมในทุกขั้นตอนของกระบวนการเลือกตั้ง พร้อมเสริมความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของ กกต. ให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมืออาชีพและตรวจสอบได้
นอกจากนี้ การส่งเสริมความรู้ทางการเมืองของประชาชน การรู้เท่าทันสื่อ การมีส่วนร่วมของประชาชน และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยการทุจริตและเพิ่มความไว้วางใจต่อกระบวนการและผลการเลือกตั้ง หากสังคมไทยสามารถขับเคลื่อนการปฏิรูปเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง การเลือกตั้งปี 2569 จะไม่เพียงเป็นการแข่งขันทางการเมืองที่โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็น ก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความชอบธรรมของระบอบประชาธิปไตยไทยในสายตาของประชาชนอีกครั้ง
อ้างอิง:
[1] https://www.cambridge.org/core/books/why-electoral-integrity-matters/3B5036F5F21D99425CE5BB1C54002D82
[2] ผู้สนใจสามารถเข้าถึงรายงานการวิจัยได้ทางเว็บไซต์ห้องสมุดสถาบันพระปกเกล้า https://www.kpi-lib.com/elib/
[3] ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี นครศรีธรรมราช ปัตตานี พิษณุโลก ร้อยเอ็ด สงขลา สุพรรณบุรี และ อุบลราชธานี
[4] ผู้สนใจสามารถเข้าถึงรายงานได้ทาง https://anfrel.org/wp-content/uploads/2023/08/ANFREL_2023-Thai-General-Election_TH.pdf
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:





