ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ในปี 2567 การจดทะเบียนตั้งนิติบุคคลใหม่ มีจำนวน 87,596 ราย เพิ่มขึ้น 2.7% แต่มีทุนจดทะเบียนตั้งใหม่รวมอยู่ที่ 285,745 ล้านบาท ลดลง 49.2% ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการ มีจำนวน 23,679 ราย เพิ่มขึ้น 1.3% และมีทุนจดทะเบียนเลิกกิจการรวมกันที่ 171,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.0%
ขณะที่ ในไตรมาสแรกของปี 2568 การจดทะเบียนตั้งใหม่ มีจำนวน 23,823 ราย ลดลง 4.7% แต่มีทุนจดทะเบียนตั้งใหม่รวมอยู่ที่ 79,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% ขณะที่ การจดทะเบียนเลิกกิจการ มีจำนวน 3,107 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.6% โดยมีทุนจดทะเบียนเลิกกิจการรวมอยู่ที่ 11,859 ล้านบาท ลดลง 0.7%
หากพิจารณาจำนวนการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการสะสมในช่วงปี 2566 – ไตรมาสแรก ของปี 2568 ใน 10 อุตสาหกรรมที่เลิกกิจการ มากที่สุด พบว่า จำนวนธุรกิจที่มีการแจ้งเลิกกิจการมากเป็นอันดับ 1 คือ ผลิตภัณฑ์อาหาร รองลงมา คือ เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ที่ทำจากโลหะ เครื่องจักรและเครื่องมือ และเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ซึ่งพบว่าเป็นประเภทกิจการเดียวกันกับการจัดตั้งธุรกิจใหม่และโดยส่วนใหญ่ จะเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก (S) ที่มีทุนจดทะเบียนธุรกิจไม่เกิน 100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาทุนจดทะเบียนธุรกิจที่เลิกกิจการวมกัน พบว่า ธุรกิจที่เลิกกิจการและมีทุนจดทะเบียนมากที่สุด อันดับ 1 คือ เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ รองลงมาคือ ยานยนต์ฯ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นกิจการที่มีมูลค่าเงินลงทุนค่อนข้างสูงหรือเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ (L)
ธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนของกิจการตั้งใหม่เฉลี่ยในช่วงปี 2566 -2567 มีการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากในช่วงปี 2560 -2561 (ก่อนโควิด-19) ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ได้แก่ (1) คอมพิวเตอร์ฯ (2) เครื่องจักรและเครื่องมือ (3) โลหะขั้นมูลฐาน และ (4) ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแร่อโลหะ เป็นต้น
ธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนของกิจการตั้งใหม่เฉลี่ยในช่วงปี 2566-2567 กลับมาขยายตัว หลังจากการปรับตัวลดลง ในช่วงปี 2560 – 2561 (ก่อนโควิด-19) หรืออุตสาหกรรมที่กลับมาขยายตัว เช่น (1) ยานยนต์ (2) อุปกรณ์ไฟฟ้า และ (3) ยางและพลาสติก เป็นต้น
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องทั้งช่วงก่อนและหลังโควิด-19 เช่น เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ สะท้อนถึงการปรับตัวและ การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทยในช่วงที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจำนวนธุรกิจสาขาบริการสะสมในช่วงปี 2566 – ไตรมาสแรกของปี 2568 ใน 10 สาขาบริการที่เลิกกิจการ มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ได้แก่ การขายส่งฯ รองลงมา คือ การขายปลีกฯ และการก่อสร้างอาคาร และพบว่าการจัดตั้งธุรกิจใหม่ยังเป็นธุรกิจบริการ เดียวกับธุรกิจที่แจ้งเลิกกิจการมากที่สุดเช่นกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก (S) ที่มีทุนจดทะเบียนธุรกิจไม่เกิน 50 ล้านบาท
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาทุนจดทะเบียนธุรกิจ พบว่า ธุรกิจที่เลิกกิจการและมีทุนจดทะเบียนมากที่สุด คือ บริการทางการเงิน โทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ การขายส่งฯ และการขายปลีกฯ ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทุนจดทะเบียนของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ (L)
เช่นเดียวกับ ทุนจดทะเบียนของธุรกิจบริการตั้งใหม่ ยกเว้นธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์ การขายส่งฯ และการขายปลีกฯ สะท้อนให้เห็นธุรกิจบริการสำคัญ ที่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินทุนค่อนข้างสูง และยังกระจุกตัวในผู้ประกอบการขนาดใหญ่
สาขาธุรกิจบริการที่มีทุนจดทะเบียนตั้งใหม่เฉลี่ยในช่วงปี 2566-2567 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากในช่วงปี 2560 – 2561 (ก่อนโควิด-19) หรือสาขาบริการที่มีศักยภาพ ได้แก่ (1) การขายส่งฯ (2) บริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ (3) บริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม และ (4) บริการด้านสุขภาพ เป็นต้น
ธุรกิจบริการที่มีทุนจดทะเบียนของกิจการตั้งใหม่เฉลี่ยในช่วงปี 2566-2567 กลับมาขยายตัว หลังจากการลดลงในช่วงปี 2560 – 2561 หรือสาขาบริการที่กลับมาขยายตัว เช่น (1) โทรคมนาคม (2) การขายส่ง ขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และจักรยานยนต์ และ (3) การให้คำปรึกษาด้านบริหารจัดการ เป็นต้น
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เช่น (1) การก่อสร้างอาคาร (2) บริการทางการเงินและประกันภัย และ (3) ไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำและระบบปรับอากาศ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์การจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ในสาขาสำคัญ ๆ จะยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการเข้ามาประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหญ่ (L) และเป็นนิติบุคคลที่ถือหุ้นโดยนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะจีนมากขึ้น รวมถึงเน้นการเข้ามาตั้งฐานการผลิตสินค้าในไทยเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางภาษี
ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมหรือสาขาบริการของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) ที่ต้องแข่งขันด้านต้นทุนกับผู้ประกอบต่างชาติ
ดังนั้น ในระยะถัดไปภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมี การติดตามความเสี่ยงจากการปิดกิจการของผู้ประกอบการไทยที่ผลิตสินค้าในกลุ่มเดียวกับผู้ประกอบการต่างชาติท่ามกลางสถานการณ์ของมาตรการกีดกันทางการค้าที่ยังคงดำเนินอยู่และมีความไม่แน่นอนสูง
ที่มา: รายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1/2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
โลกกำลังตีกลับ ยุคโลกาภิวัฒน์ หวนสู่ยุคกีดกันการค้า