บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน (MOU on Critical Minerals Supply Chains) ที่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงนามคู่กับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ประเทศมาเลเซียในการประชุมอาเซียนที่ผ่านมา กำลังถูกจับตาว่าเป็นผลดีหรือผลเสีย เพราะถือเป็น ความร่วมมือด้านแร่หายากฉบับแรกของไทย กับมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ขณะที่ปัญหามลพิษข้ามแดนจากการทำเหมืองแร่หายากจากต้นทางประเทศเมียนมาที่มีต่อแม่น้ำกก – น้ำสาย ที่จ.เชียงราย ฝั่งประเทศไทย ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวมีเป้าหมายหลักเพื่อ ส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและกระจายแหล่งแร่หายาก (Rare Earths) และแร่สำคัญอื่น ๆ ที่เป็นฐานวัตถุดิบของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV), ชิปอิเล็กทรอนิกส์, ระบบพลังงานสะอาด และอุปกรณ์ป้องกันทางทหาร
รัฐบาลไทยประกาศว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยให้ไทย “เข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญระดับโลก” และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีสะอาดจากประเทศพัฒนาแล้ว
เนื้อหาภายใน MOU ที่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนักการเมือง นักวิชาการ และภาคประชาชน โดยเฉพาะประเด็น “ความไม่สมดุล” ระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและอธิปไตยทางทรัพยากรของประเทศ
“Critical Minerals” กับเกมมหาอำนาจใหม่ในศตวรรษที่ 21
ในระดับโลก “Critical Minerals” หรือ “แร่ธาตุสำคัญ” หมายถึงแร่กว่า 60 ชนิดที่มีความจำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะกลุ่ม Rare Earth Elements (REE) ซึ่งเป็นหัวใจของเทคโนโลยีสีเขียว ตั้งแต่แม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV จนถึงระบบขับเคลื่อนดาวเทียม
สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกกำลังเร่งสร้าง “ห่วงโซ่อุปทานใหม่” เพื่อหลุดพ้นจากการพึ่งพาจีน ซึ่งปัจจุบันถือครองสัดส่วนการผลิตและแปรรูปแร่หายากมากกว่า 70% ของโลก การที่สหรัฐฯ มองไทยเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ จึงสะท้อนถึงบทบาทของประเทศไทยในฐานะ จุดเชื่อมระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับอินโด-แปซิฟิก ที่สามารถเป็น “ทางเลือก” แทนแหล่งผลิตในจีนและเมียนมา
อนุทิน นายกรัฐมนตรี ระบุระหว่างการแถลงผลการหารือว่า “MOU ฉบับนี้เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยขยายโอกาสทางเศรษฐกิจจากห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญในระดับโลก เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความร่วมมือด้านการลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมแร่สมัยใหม่”
โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้เสนอกรอบความร่วมมือนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 โดยมุ่งให้เป็นบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ไม่ผูกพันทางกฎหมาย แต่เปิดทางให้เริ่มศึกษาศักยภาพของไทยในการพัฒนา “ห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก” ร่วมกับสหรัฐฯ
ในทางเศรษฐกิจ ข้อตกลงนี้อาจสอดรับกับเป้าหมายนโยบาย “Green Industry” และ “Thailand EV Valley” ที่รัฐบาลไทยต้องการผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยเฉพาะหลังการค้นพบแหล่งแร่ ลิเธียมและโซเดียม ในประเทศ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรม EV
รายละเอียด MOU แร่หายากไทย-สหรัฐ
สำหรับรายละเอียดบันทึกความเข้าใจที่ลงนามในครั้งนี้ มีเป้าหมายดังนี้
- เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและขยายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ ส่งเสริมการค้าและการลงทุนในการสำรวจ การสกัด การแปรรูป การกลั่น การรีไซเคิล และการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่
- สนับสนุนการลงทุนที่มุ่งเพิ่มมูลค่าในประเทศและอุตสาหกรรมแปรรูป แทนการส่งออกวัตถุดิบเพียงอย่างเดียว เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ตลาดแร่ธาตุสำคัญและแร่หายากที่เปิดกว้าง มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และโปร่งใส และสร้างความแข็งแกร่ง ความมั่นคง ของห่วงโซ่อุปทานระหว่างสองประเทศ
ขอบเขตความร่วมมือ ประกอบด้วย
- เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคตามแนวปฏิบัติสากลที่ดีที่สุดระหว่างสองประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของภาคแร่ธาตุสำคัญของไทย ช่วยประเทศไทยวิเคราะห์ฐานทรัพยากรที่มีอยู่ และร่วมพิจารณาโครงการสำคัญที่ส่งเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
- ในส่วนการลงทุนแต่ละฝ่ายมีสิทธิ์ตัดสินใจเองว่าโครงการใดเหมาะสมต่อการลงทุน แต่ผู้เข้าร่วมทั้งสองจะได้รับสิทธิ์พิจารณาการลงทุนก่อน ตามกฎหมายของแต่ละประเทศในสินทรัพย์แร่ธาตุสำคัญที่มีการซื้อขายในไทย โดยการลงทุนต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี การเสริมสร้างศักยภาพ และการฝึกอบรมบุคลากรในประเทศ
- มีกลไกความร่วมมืออาจรวมถึงการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐบาล และโครงการวิจัยธรณีวิทยาร่วม การแลกเปลี่ยนข้อมูลกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ
- ความร่วมมืออาจครอบคลุมถึงปรับปรุงแนวปฏิบัติ เช่น การลดขั้นตอนขอใบอนุญาต การพัฒนาโครงสร้างการลงทุน และการประสานงานระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาหรือปรับปรุงหน่วยงานที่ดูแลความมั่นคงของสินทรัพย์แร่ธาตุสำคัญ เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศ
- ทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโครงการหรือการเปิดประมูลที่อาจเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่ช้ากว่าที่ข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งไปยังนักลงทุนรายอื่น เพื่อให้บริษัทในประเทศของแต่ละฝ่ายมีเวลาเตรียมตัวเข้าร่วมได้ทัน
- ทั้งสองฝ่ายจะประสานความร่วมมือเพื่อปกป้องตลาดแร่ธาตุสำคัญในประเทศของตน โดยยึดหลักนโยบายการค้าที่เป็นธรรม และจัดตั้งตลาดมาตรฐานสูงที่ผู้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์สามารถซื้อขายได้ภายใต้กรอบราคาที่กำหนด เช่น ราคาขั้นต่ำหรือมาตรการที่คล้ายคลึงกัน
ส่วนบันทึกข้อตกลงนี้ ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่กระทบต่อข้อตกลงอื่นที่มีอยู่ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถยุติความร่วมมือได้ทุกเมื่อ โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางช่องทางการทูต โดยการยุติไม่กระทบต่อกิจกรรมที่ดำเนินอยู่ก่อนหน้านั้น
คำถามจากฝ่ายค้าน “ไทยได้อะไร?”
ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ตั้งคำถามว่า MOU ฉบับนี้ “ไทยได้อะไร” เมื่อเนื้อหาหลายส่วนเปิดช่องให้สหรัฐฯ ได้สิทธิเข้าถึงข้อมูลเชิงพื้นที่และสิทธิการลงทุนก่อนประเทศอื่น
นายภัทรพงษ์ชี้ว่า MOU ฉบับนี้
- ให้อำนาจสหรัฐฯ ในการวิเคราะห์และเข้าถึงพิกัดแหล่งแร่หายากในประเทศไทย
- หากพบพื้นที่แร่หายาก ไทยต้องแจ้งสหรัฐฯ ให้ทราบโดยเร็วที่สุด และสหรัฐฯ จะมีสิทธิเข้าลงทุนก่อนรายอื่น
- ให้สิทธิผู้ลงทุนสหรัฐได้รับการอำนวยความสะดวกทางกฎหมายในระดับ “รวดเร็วและคล่องตัว”
- แม้ยกเลิก MOU ได้ทุกเมื่อ แต่โครงการที่ตกลงไว้ก่อนยังต้องดำเนินการต่อ
“นี่คือทรัพยากรของชาติ ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ต่อรองเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” ภัทรพงษ์ ระบุ
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า กระทรวงอุตสาหกรรมยังไม่มีความพร้อมหรือองค์ความรู้ด้านเทคนิคเกี่ยวกับแร่หายาก และไม่มีมาตรการสิ่งแวดล้อมรองรับ
โดยเฉพาะเมื่อ ภาคเหนือของไทย กำลังเผชิญปัญหามลพิษทางน้ำจากการรั่วไหลของเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา เขาชี้ว่า “ไทยอาจกลายเป็นเพียงหมากในสงครามแรร์เอิร์ธระหว่างสหรัฐฯ กับจีน”
คำเตือนของนายภัทรพงษ์ไม่ใช่เรื่องเกินจริง หากมองย้อนกลับไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จีนได้จำกัดการส่งออกแร่ Rare Earth หลายชนิด เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ในสงครามเทคโนโลยี ขณะที่สหรัฐฯ เร่งหาพันธมิตรใหม่ในภูมิภาค เช่น ออสเตรเลีย เวียดนาม และไทย
ประเทศไทยจึงอาจกำลังเข้าสู่ “สนามใหม่” ของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ ที่แร่หายากกลายเป็น “น้ำมันแห่งยุคดิจิทัล” ซึ่งมหาอำนาจใช้ต่อรองอิทธิพลในภูมิภาค
ชาวลุ่มน้ำกก–รวก–โขง เสี่ยงรับมลพิษข้ามพรมแดน
สอดคล้องกับ สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ออกมาแสดงข้อสังเกตต่อ MOU ดังกล่าว พร้อมตั้งคำถาม 4 ข้อ ถึงความโปร่งใสและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยระบุว่า ข้อตกลงนี้อาจเป็น “จุดเริ่มต้นของการเข้ามาหาผลประโยชน์จากแร่หายาก (REE)” ของสหรัฐฯ โดยใช้ประเทศไทยเป็น “ข้อต่อสำคัญของห่วงโซ่อุปทานแร่ในภูมิภาค”
- MOU เน้นแร่ CTM ทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะแร่หายาก
สืบสกุล อธิบายว่า “แร่สำคัญ” หรือ Critical Minerals (CTM) มีมากกว่า 60 ชนิด โดย “แร่หายาก” (Rare Earth Elements – REE) เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
เขาระบุว่า การทำความเข้าใจ MOU ต้องมองให้ครอบคลุมแร่ทั้งหมด ไม่ใช่จำกัดอยู่ที่ REE เพราะแร่ในกลุ่ม CTM ยังรวมถึงแมงกานีส ดีบุก ตะกั่ว และพลวง ซึ่งหลายชนิดเป็นวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด
“ชื่อของ MOU ชี้ชัดว่าครอบคลุมแร่หลายสิบชนิด การโฟกัสแค่แร่หายากจะทำให้มองไม่เห็นภาพรวมของห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด”
เขายังเตือนด้วยว่า ความพยายามของสหรัฐฯ ที่เข้าไปมีบทบาทในเหมืองแร่พม่า โดยเฉพาะรัฐคะฉิ่นในช่วงที่ผ่านมา อาจสะท้อนถึงความตั้งใจในการยึดครองแหล่ง REE ในภูมิภาค
“MOU นี้อาจเป็นการเปิดฉากอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ ในการแสวงหาผลประโยชน์จากแร่ REE โดยใช้ไทยเป็นข้อต่อในห่วงโซ่อุปทานโลก” สืบสกุล ระบุ
- ไทยคือจุดผ่านแร่ CTM จากพม่า ตัวเลขนำเข้าจริงอาจสูงกว่าทางการ
นักวิชาการจากแม่ฟ้าหลวงระบุว่า ไทยเป็นผู้นำเข้าแร่ CTM จากเมียนมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายในหลายจุดตลอดแนวชายแดน จากเชียงรายถึงระนอง แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่ามีการแปรรูปหรือส่งต่อไปประเทศที่สามอย่างไร
เขาตั้งคำถามสำคัญว่า
- ใครเป็นผู้มีบทบาทในห่วงโซ่การนำเข้าแร่ CTM?
- ไทยนำเข้าเพื่อแปรรูปต่อหรือเพียงเป็นจุดผ่านสินค้า?
- และมีการนำเข้าแบบ “ไม่เป็นทางการ” ตามแนวชายแดนมากน้อยเพียงใด?
“ข้อมูลการนำเข้าแร่ของกรมศุลกากรอาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง ยังมีการนำเข้าที่ไม่ผ่านระบบศุลกากรอีกมาก ซึ่งหมายความว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจและผลกระทบสิ่งแวดล้อมจริงอาจรุนแรงกว่าที่ตัวเลขแสดง” ดร.สืบสกุลกล่าว
- กลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ ผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่แร่ CTM
อีกประเด็นที่ .สืบสกุล ตั้งข้อสังเกตคือ บทบาทของ กลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ตามแนวชายแดนไทย–เมียนมา ซึ่งมักเป็นเจ้าของพื้นที่เหมืองหรือผู้ดำเนินการเหมืองโดยตรง
“รายได้จากเหมืองแร่ CTM เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ และหลายกลุ่มมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับนักธุรกิจไทย หน่วยงานรัฐของไทย และแม้แต่กับสหรัฐฯ”
เขาเตือนว่า MOU ฉบับนี้อาจเปิดช่องให้กองกำลังชาติพันธุ์เข้ามามีส่วนในห่วงโซ่อุปทานแร่อย่าง “ชอบธรรมมากขึ้น” ภายใต้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสหรัฐ ซึ่งหากไม่มีการกำกับอย่างรอบคอบ อาจซ้ำเติมความซับซ้อนของปัญหาความมั่นคงชายแดนและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่เหมือง
- “ประชาชนลุ่มน้ำกก–รวก–โขง” เสี่ยงมลพิษข้ามพรมแดน
สืบสกุล เตือนว่า หลังการลงนาม MOU ผู้นำรัฐบาลไทยได้ประกาศต่อสาธารณะถึง “โอกาสทางเศรษฐกิจจากห่วงโซ่อุปทานแร่ CTM” แต่ในเอกสารข้อตกลงกลับ ไม่กล่าวถึงสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม หรือกลไกป้องกันผลกระทบข้ามพรมแดนเลยแม้แต่น้อย
“ประชาชนในลุ่มน้ำกก–รวก–โขงกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงของมลพิษข้ามพรมแดนมากขึ้น แต่รัฐบาลกลับไม่มีนโยบายชัดเจนในการแก้ปัญาเหมืองในฝั่งเมียนมา ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กระทบไทยโดยตรง”
เขาระบุว่า ภาคประชาชนได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล พร้อมข้อเสนอ 10 ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเชิงรุก แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง ขณะที่รองนายกรัฐมนตรี สุชาติ ชมกลิ่น และ ธรรมนัส พรหมเผ่า ลงพื้นที่ภาคเหนือแล้ว แต่สถานการณ์ “ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลง”
สืบสกุล มีข้อเสนอถึงรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ เบื้องต้น 2 ประการ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงของชุมชนชายแดน
- เปิดเผยแผนดำเนินงานของ MOUอย่างโปร่งใส ให้ประชาชนรับทราบสิทธิและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
- ยุติการนำเข้าแร่ CTM จากเมียนมาทั้งหมด และเปิดเผยที่ตั้งเหมืองที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างเหมืองต้นทางกับมลพิษในลุ่มน้ำชายแดนไทย
“MOU ฉบับนี้คือการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจใหม่ของมหาอำนาจโลก แต่ประชาชนไทยกำลังเป็นผู้แบกรับภาระทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ไม่ได้ก่อขึ้นเอง” สืบสกุล ระบุ
นักวิชาการจากแม่ฟ้าหลวงบอกด้วยว่า หากไม่มีการกำกับอย่างเข้มงวด ความร่วมมือไทย–สหรัฐฯ ครั้งนี้อาจกลายเป็น “กลไกสูญเสียอำนาจของประชาชนในลุ่มน้ำกก–รวก–โขง” ที่ต้องแลกเศรษฐกิจในนามชาติ ด้วยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนชายแดน
ไทยแหล่งแร่ลิเธียม ขนาดใหญ่ ?
ถ้ายังจำกันได้ย้อนไปปีที่แล้ว 2567 รัฐบาลประกาศ “ข่าวดี” ว่าพบแหล่งแร่ลิเธียมขนาดใหญ่ในจังหวัดพังงาและภาคอีสาน โดย รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ในขณะนั้น ระบุว่า ไทยค้นพบแร่ลิเธียมกว่า 14.8 ล้านตัน ทำให้ไทย “เป็นประเทศที่ค้นพบมากที่สุดอันดับ 3 ของโลก”
แร่ลิเธียมและโซเดียมเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งกำลังเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การค้นพบนี้จึงถูกใช้เป็นหลักฐานเชิงบวกว่าประเทศไทย “พร้อม” จะก้าวสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์อย่าง เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้ออกมาอธิบายว่า ตัวเลข “14.8 ล้านตัน” ที่เป็นข่าวนั้น หมายถึงปริมาณของ “หินเพกมาไทต์” ไม่ใช่ “ธาตุลิเทียมบริสุทธิ์” โดยเมื่อนำมาคำนวณแล้ว ปริมาณลิเทียมแท้จริงที่สกัดได้มีเพียงราว 66,000 ตัน เท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากอันดับ 3 ของโลกอย่างโบลิเวียและอาร์เจนตินามาก
ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนว่า ไทยยังอยู่ในช่วง “เริ่มต้น” ของการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากและลิเธียม ทั้งในด้านเทคโนโลยี การลงทุน และกฎหมายควบคุม
ช่องว่างเชิงนโยบาย เมื่อกฎหมายยังไม่ตามทัน
นอกจากนี้ในเชิงกฎหมาย นายภัทรพงษ์ ตั้งข้อสังเกตุอีกประเด็นที่น่าสนใจ คือประเทศไทยยังไม่มี “กฎหมายเฉพาะ” ว่าด้วยการบริหารจัดการแร่หายากหรือแร่สำคัญ (Critical Minerals Act) ที่ครอบคลุมมิติด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง และการแบ่งปันผลประโยชน์
แม้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 จะกำหนดขั้นตอนอนุญาตสำรวจและทำเหมือง แต่ยังไม่มีกลไกตรวจสอบ ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Traceability) หรือการรับรอง “แร่สะอาด” ที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ยุโรปและสหรัฐฯ กำลังใช้เป็นเงื่อนไขการค้า
ในแง่นี้ การลงนาม MOU ที่เปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนก่อนที่ไทยจะมีกลไกตรวจสอบครบถ้วน จึงเสี่ยงต่อการถูกมองว่า “เร่งเปิดประเทศโดยไร้การป้องกัน” หรือไม่
สหรัฐฯ มองเห็นศักยภาพ “แร่หายาก”ในไทย
ขณะที่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านธรณี เห็นว่า แม้ไทยจะมีการสำรวจพบว่าแหล่งแร่แรร์เอิร์ธ ยังไม่มีศักยภาพที่คุ้มค่าเพียงพอในเชิงพาณิชย์ โดยพบว่ามีกระจัดกระจายแหล่งแร่อยู่ทั่วประเทศไทย แต่ไม่มีแหล่งแร่ขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม การสำรวจของไทยเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีของการสำรวจอาจจะไม่ดีหรือไม่ทันสมัยเพียงพอ ซึ่งปัจจุบันสหรัฐฯ อาจจะมีเทคโนโลยีที่ดีในการสำรวจแหล่งแร่ จนเห็นศักยภาพแร่หายากในไทย
นอกจากนี้ แร่หายากทั้งหมดไม่ได้มีเพียง แร่แรร์เอิร์ธ ยังมีแร่หายากอีกหลายชนิดที่ไทยยังไม่มีการสำรวจที่ดีเพียงพอ และนั่นอาจจะเป็นจุดสนใจที่ทำให้สหรัฐฯ อยากเข้ามาสำรวจแหล่งแร่หายากในไทย
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง




