สำนักงานสถิติแห่งชาติได้ดำเนินการสำรวจประชากรสูงอายุอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2537 โดยการสำรวจทุก 3 ปี และครั้งล่าสุดจัดทำสำรวจปี 2567 นับเป็นการสำรวจครั้งที่ 8 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลลักษณะทางประชากร เศรษฐกิจ สังคม ภาวะสุขภาพ การเกื้อหนุน ตลอดจนลักษณะการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ
การสำรวจทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากครัวเรือนตัวอย่างจำนวน 86,880 ครัวเรือน ทุกจังหวัดทั่วประเทศทั้งในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาล ระหว่างเม.ย.-มิ.ย. 67 ซึ่งสรุปผลการสำรวจที่สำคัญได้ดังนี้
ลักษณะทางประชากรของผู้สูงอายุ
จากผลการสำรวจ พบว่า จำนวนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2537 มีผู้สูงอายุ 6.8% และเพิ่มขึ้นเป็น 20.0% ในปี 2567
เมื่อพิจารณาตามเพศ พบว่า ผู้สูงอายุหญิงมากกว่าผู้สูงอายุชาย (57.9% และ 42.1% ตามลำดับ) และในทุกกลุ่มช่วงวัย ผู้สูงอายุหญิงมีจำนวนมากกว่าผู้สูงอายุชาย สำหรับการแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุตามกลุ่มช่วงวัย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุวัยต้น (60-69 ปี) 59.3% รองลงมา คือ กลุ่มผู้สูงอายุวัยกลาง (70-79 ปี) 29.8% และน้อยที่สุดคือ กลุ่มผู้สูงอายุวัยปลาย (80 ปีขึ้นไป) 10.9%
แนวโน้ม ดัชนีการสูงอายุ อัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุและอัตราส่วนเกื้อหนุน
ดัชนีการสูงอายุ เป็นตัวชี้วัดที่แสดงสัดส่วนของประชากรสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) เมื่อเทียบกับประชากรเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี) 100 คน จากการสำรวจพบว่า ดัชนีการสูงอายุของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
อัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุ เป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงภาระที่ประชากรวัยทำงานต้องรับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งอัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 10.7 ในปี 2537 เพิ่มขึ้นเป็น 31.1 ในปี 2567 นั่นคือ ประชากรวัยทำงาน 100 คน รับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุประมาณ 31 คน
อัตราส่วนเกื้อหนุน เป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงจำนวนประชากรวัยทำงานที่สามารถให้การเกื้อหนุนผู้สูงอายุ 1 คนได้ ซึ่งผลการสำรวจ พบว่า อัตราส่วนเกื้อหนุนลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 9.3 ในปี 2537 ลดลงเป็น 3.2 ในปี 2567 นั่นคือ ในปี 2567 ประชากรวัยทำงานประมาณ 3 คน ให้การเกื้อหนุนผู้สูงอายุ 1 คน
ลักษณะการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ
ลักษณะการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ พบว่าผู้สูงอายุอาศัยอยู่กับบุคคลอื่น 64.5% รองลงมา คือ ผู้สูงอายุอยู่ลำพังกับคู่สมรส 22.6% และ น้อยที่สุดคือ ผู้สูงอายุอยู่คนเดียว 12.9%
อย่างไรก็ตาม ลักษณะการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวในครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า จาก 3.6% ในปี 2537 เป็น 12.9% ในปี 2567
ลักษณะทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุ
ผลการสำรวจในปี 2567 พบว่า ในระหว่าง 7 วันก่อนวันสัมภาษณ์ ผู้สูงอายุ 34.0% ยังคงทำงานอยู่ โดยผู้สูงอายุชายทำงานสูงกว่าผู้สูงอายุหญิง (44.7% และ 26.2% ตามลำดับ) และเมื่อพิจารณาระหว่างภาค พบว่า ภาคใต้มีผู้สูงอายุที่ทำงานสูงสุด 39.9% รองลงมาคือ ภาคเหนือภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (35.5% 33.5% และ 33.3% ตามลำดับ) สำหรับกรุงเทพมหานครมีสัดส่วนของผู้สูงอายุที่ทำงานต่ำสุด 27.6%
เหตุผลที่ผู้สูงอายุที่ยังคงทำงานในระหว่าง 7 วันก่อนวันสัมภาษณ์ พบว่า ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรงและยังมีแรงทำงาน 51.5% รองลงมาคือ ต้องหารายได้เลี้ยงครอบครัวหรือตนเอง 43.5% ช่วยบุตร/สมาชิกในครัวเรือน 1.7% เป็นอาชีพประจำ ไม่มีผู้ดูแลแทน 1.4% และทำงานเพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ 1.0% สำหรับ อื่น ๆ เช่น ยังมีหนี้สิน ยังไม่เกษียณอายุต้องส่งเสียบุตร เป็นต้นมีเพียง 0.9%
สำหรับแหล่งรายได้หลักในการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ พบว่า ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุมีแหล่งรายได้หลักจากบุตร (35.7%) รองลงมาคือแหล่งรายได้หลักจากการทำงาน (33.9%)เบี้ยยังชีพจากทางราชการ (13.3%) เงินบำเหน็จหรือบำนาญ (6.8%) คู่สมรส (5.6%) และแหล่งรายได้หลักจากดอกเบี้ยจากเงินออมหรือการขายทรัพย์สิน (1.6%) เมื่อพิจารณาตามเพศ พบว่า ผู้สูงอายุชายมีแหล่งรายได้หลักส่วนใหญ่จากการทำงาน (45.8%) ในขณะที่ผู้สูงอายุหญิงมีแหล่งรายได้หลักส่วนใหญ่จากบุตร(41.7%)
ผู้ดูแลผู้สูงอายุ
ในปี 2567 พบว่าผู้สูงอายุที่มีผู้ดูแลมี 8.6% โดยเมื่อพิจารณาตามกลุ่มวัย พบว่าผู้สูงอายุในกลุ่มวัยปลายมีจำนวนผู้ดูแลมากที่สุด 32.8% รองลงมาคือ กลุ่มวัยกลางมีผู้ดูแล 10.1% และกลุ่มวัยต้นมีสัดส่วนผู้ดูแลมีเพียง 3.4% แสดงให้เห็นว่าการมีผู้ดูแลสำหรับผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามกลุ่มวัยที่มากขึ้น
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์(Complete aged society) โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งสามารถสังเกตได้จากแนวโน้มที่ชัดเจนในดัชนีการสูงอายุ อัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุ และอัตราส่วนเกื้อหนุน ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในประชากร โดยมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ประชากรวัยทำงานและอัตราการเกิดเด็กกลับลดลง ส่งผลให้กลุ่มประชากรวัยทำงานแบกรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุ
อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุส่วนหนึ่งยังคงทำงานหาเลี้ยงชีพเพื่อช่วยลดภาระในครัวเรือน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงและสามารถทำงานได้ แต่การทำงานของผู้สูงอายุอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ลดลง ภาครัฐจึงควรส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของผู้สูงอายุดังนี้
- การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งระบบสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุในด้านการเงินและสุขภาพซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุโดยไม่ต้องพึ่งพาการทำงานเพียงอย่างเดียวเพิ่มมากขึ้น
- การสนับสนุนการพัฒนางานและสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อผู้สูงอายุ เช่น การทำงานจากบ้านหรือการทำงานที่มีความยืดหยุ่นในเวลา เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถทำงานได้ตามความสามารถและสุขภาพของตน
- การส่งเสริมการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับบทบาทและการให้เกียรติผู้สูงอายุในสังคมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
รายจ่ายรับสังคมสูงวัย กำลังกดดันหนี้สาธารณะ