จากกรณีคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ ได้จัดการประชุม ‘HACK งบประกันสังคม’ เมื่อ 15 ก.พ. 68 ซึ่งจากการประชุมดังกล่าวมีการเปิดเผยถึงการใช้จ่ายและการจัดทำงบประมาณของสำนักงานประกันสังคม และตั้งข้อสงสัยการใช้จ่ายบางรายการว่ามีความสมเหตุสมผลหรือไม่ อาทิ งบประมาณการจัดทำปฏิทิน และงบประมาณการดูงานต่างประเทศ โดยคณะกรรมาธิการฯ ระบุว่าเป็นการเปิดเผยให้เห็นการใช้งบประมาณในรอบ 34 ปี และเชิญชวนผู้สนใจเข้าไปศึกษาข้อมูลได้
หลังจากการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากสาธารณะ โดยเฉพาะผู้ส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมประมาณ 24 ล้านคนทั่วประเทศทั้ง มาตรา 33-39-40 เนื่องจากที่ผ่านมา สมาชิกที่มีสิทธิใช้บริการประกันสังคมประสบปัญหาและความล่าช้าในการใช้สิทธิ อีกทั้งสมาชิกส่วนมากเป็นผู้ที่มีความอ่อนไหวจากภาวะเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากเป็นพนักงานในภาคเอกชนและเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งที่ผ่านมา มักจะคาดหวังว่าสำนักงานประกันสังคมจะช่วยเหลือหากเกิดปัญหาในเรื่องเจ็บป่วยและการจ้างงาน
มารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้ออกมาชี้แจงในวันต่อมาว่าการจัดทำคำของบประมาณประจำปีจะต้องสอดคล้องกับแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการประกันสังคม และเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการประกันสังคม รวมถึงหลักเกณฑ์การจัดทำคำของบประมาณประจำปี อีกทั้งยังระบุด้วยว่าวงเงินค่าใช้จ่ายในการบริหารงานที่ได้รับการจัดสรรในแต่ละปี เป็นไปตามพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 กล่าวคือไม่เกิน 10% ของเงินสมทบประจำปี ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับการจัดสรรค่าใช้จ่ายในการบริหารงานปีละไม่เกิน 3%
หลังจากนั้น มีการโต้แย้งกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองและผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง ซึ่งมักจะหยิบยกเหตุผลเดิม ๆ ที่มักจะอ้างกัน เช่น การเมืองแทรกแซง เป็นเรื่องหยุมหยิมเมื่อเทียบกับขนาดกองทุนนับล้านล้านบาท ในขณะที่ย้ำถึงการจัดทำงบประมาณและการใช้จ่ายต่าง ๆ ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมาย แต่จากกระแสโซเชียลต่าง ๆ จะเห็นว่าคำชี้แจงจากสำนักงานประกันสังคมและผู้บริหารระดับสูง ไม่ได้ทำให้ความไม่พอใจของผู้ที่ต้องจ่ายเงินสมทบ แต่กลับเพิ่มอารมณ์โกรธมากยิ่งขึ้นและเรียกร้องสิทธิเพิ่มเติม
อันที่จริง ประเด็นข้อถกเถียงระหว่างคณะกรรมาธิการฯกับสำนักงานประกันสังคม เป็นเหมือนกับคนละด้านของเหรียญเดียวกัน ในขณะที่กรรมาธิการฯ ตั้งประเด็นเรื่อง “ความสมเหตุสมผล”ของการใช้จ่ายงบประมาณด้านการบริหารจากกองทุนประเกันสังคม แต่การชี้แจงของสำนักงานประกันสังคม กลับไปชี้แจงในประเด็นเรื่องความถูกต้องตามกฏระเบียบกติกาของหน่วยงานรัฐที่สามารถทำได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาข้อยุติลงได้ หากมีเหตุผลคนละชุด แต่คำถามก็คือ จะทำอย่างไรและอนาคตของกองทุนประกันสังคมจะเป็นอย่างไร?
จากการเปิดเผยข้อมูลค่าใช้จ่ายการบริหารงานของกองทุนประกันสังคม ซึ่งทำให้หลายคนที่ส่งเงินเข้าสมทบอาจตกใจเมื่อเทียบกับสิทธิประโยชน์ที่ตนได้รับ ในขณะที่ผู้บริหารกองทุนฯระบุว่าเป็นเรื่อง “หยุมหยิม” เพราะเงินเล็กน้อยเมื่อเทียบกับขนาดกองทุนกว่า 2 ล้านล้านบาท โดยประเด็นความไม่พอใจ หรือ อาจถึงขั้นขาดความไว้วางใจการบริหารกองทุน อาจแก้ได้ด้วยการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเป็นประจำทุกปี ทั้งเรื่องรายละเอียดค่าใช้จ่ายและการลงทุนของกองทุนฯเอง ซึ่งในช่วงหลังพบว่าไม่เป็นที่เปิดเผยนักเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
การเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงเท่านั้น ที่จะช่วยแก้ปัญหาความไว้วางใจต่อการบริหารกองทุนได้ ซึ่งข้อมูลที่เปิดเผยออกมาและให้สาธารณชนร่วมตรวจสอบความถูกต้อง ก็เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาความไม่พอใจต่อกองทุนฯได้ แต่หากยิ่งปกปิด หรือ เปิดออกมาเท่าที่อยากจะเปิดเผยเพื่อให้ดูดี ก็ยิ่งมีปัญหามากขึ้น และเมื่อมีประเด็นเพียงเล็กน้อย ก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ อีกทั้งในอนาคตกองทุนฯพยายามจะนำเงินไปลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี ก็ยิ่งต้องเปิดเผยให้เป็นมาตรฐานเหมือนกับในประเทศพัฒนาแล้ว
การเปิดข้อมูลเท่านั้น ที่จะทำให้กองทุนประกันสังคมอยู่รอดปลอดภัยและเอื้อประโยชน์ให้กับสมาชิกอย่างแท้จริง ซึ่งหากกองทุนได้รับความเชื่อถือและเชื่อมั่น การขอให้สมาชิกจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นเมื่อวัยเกษียณก็เป็นเรื่องไม่ยากนัก ทุกคนก็เต็มใจจ่ายสมทบ แต่หากกองทุนฯขาดความไว้วางใจและมีการบริหารแบบไม่ชอบมาพากล ชอบอ้างเรื่องกฏระเบียบ ก็อาจไม่ใช่วิธีที่เป็นระโยชน์กับกองทุน เพราะไม่เพียงแต่คนไม่จ่ายเงิยสมทบเพิ่มขึ้นเพื่อความมีเสถียรภาพของกองทุน คนอาจหาช่องทางถอนเงินออก และเมื่อนั้นก็จะเป็นจุดจบของกองทุนประกันสังคมที่ดำเนินมาเกือบครึ่งศตวรรษ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
กองทุนประกันสังคม: ถึงเวลาปรับใหญ่ก่อนเผชิญวิกฤต
กองทุนประกันสังคมปี 67 เมื่อรายจ่ายมากกว่าผลตอบแทน