นับตั้งแต่ 9 มิ.ย. 2565 ซึ่งประเทศไทยปลดล็อก “กัญชาเสรี” อย่างเป็นทางการ เพราะเห็นว่า การเปิดเสรี เป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ การแพทย์ และวิถีชีวิตเสรีแบบใหม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับพบปัญหาในระบบสาธารณสุข นั่นคือ ผลกระทบทางสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นและชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งในมิติจำนวนผู้ป่วย การเสพติด และปัญหาสุขภาพจิต
กัญชาเสรีกับภาระที่พุ่งสูงในโรงพยาบาล
หลักฐานเชิงประจักษ์จาก ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข (MOPH Health Data Center) ชี้ชัดว่าหลังการปลดล็อกกัญชาเสรี จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจากอาการเป็นพิษจากกัญชาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน
- ผู้ป่วยนอก (OPD) ที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการ “เป็นพิษจากกัญชา” (Cannabis Poisoning) เพิ่มขึ้นจาก 52 ราย/เดือน ในเดือนพฤษภาคม 2565 ก่อนการปลดล็อก เป็น 342 ราย/เดือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 หรือเพิ่มขึ้น 6.6 เท่า
- ผู้ป่วยใน (IPD) ที่เข้ารักษาตัวด้วยอาการเดียวกัน เพิ่มขึ้นจาก 18 ราย/เดือน เป็น 132 ราย/เดือน ในช่วงเวลาเดียวกัน คิดเป็น 7.3 เท่า
นั่นหมายความว่า การเข้าถึงกัญชาอย่างเสรีทำให้ผู้คนจำนวนมากเผชิญอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงเพียงพอให้ต้องพบแพทย์หรือแม้แต่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายวัน
เสพติดกัญชา: เสรีภาพที่กลายเป็นพันธนาการ
ในขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนกัญชาเสรีมักกล่าวว่า “กัญชาไม่ทำให้ติด” หรือ “การใช้กัญชาอย่างรู้เท่าทันจะไม่ก่อผลเสีย” ข้อมูลทางคลินิกกลับชี้ไปอีกทางหนึ่งอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาการพึ่งพิงกัญชาอย่างต่อเนื่อง
- จำนวน ผู้ป่วยนอกที่รับการรักษาอาการเสพติดกัญชา เพิ่มจาก 16,643 ราย ในปี 2562 เป็น 32,634 ราย ในปี 2566 เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
- จำนวน ผู้ป่วยในที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการเดียวกัน เพิ่มขึ้น มากกว่า 2 เท่า ในช่วงเวลาเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคจิตจากการใช้กัญชา (Cannabis-Induced Psychosis) ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีรายงานการเพิ่มขึ้นในช่วง 3-5 เท่า ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังปลดล็อก
ขณะที่ต้นทุนการรักษาผู้ป่วยก่อนปลดกัญชา ปี 2562-2564 คิดเป็นค่าใช้จ่ายปีละ 3,200-3,800 ล้านบาท แต่เมื่อปลดล็อกกัญชาปี 2565-2566 มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 15,000-21,000 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 5 เท่า
ปี | ต้นทุนผป.ใน | ต้นทุนผป.นอก | ต้นทุนทางอ้อม | รวม |
2562 | 2,496 | 173 | 1,068 | 3,737 |
2563 | 2,081 | 162 | 1,057 | 3,299 |
2564 | 2,503 | 297 | 1,095 | 3,896 |
2565 | 14,035 | 1,561 | 5,702 | 21,298 |
2566 | 9,988 | 1,196 | 4,645 | 15,829 |
ที่มา: ผศ.(พิเศษ) นพ.ปราการ ถมยางกูร สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
นโยบายปลดล็อกกัญชาเสรีในปี 2565 ถูกดำเนินการอย่างเร่งรัด โดยไม่มีพระราชบัญญัติควบคุมที่รัดกุม ไม่มีระบบแยกแยะการใช้ทางการแพทย์และการใช้เพื่อสันทนาการ และไม่มีมาตรการรองรับปัญหาด้านสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้น
ข้อมูลจากโรงพยาบาลทั่วประเทศในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจึงไม่ใช่ “อารมณ์” หรือ “การเหมารวม” หากแต่เป็น ภาพสะท้อนของระบบสุขภาพที่ต้องรับมือกับผลพวงของนโยบายที่ไม่มีเบรก และข้อมูลเหล่านี้ก็ยังชี้ให้เห็นว่า “กัญชาเสรี” ในบริบทของประเทศไทยที่ยังไม่มีการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพนั้น นำมาซึ่งผลกระทบที่ลึกซึ้งและซับซ้อน โดยเฉพาะกับระบบสาธารณสุขและความมั่นคงทางสุขภาพของประชาชน
กัญชาเสรีสร้างวิกฤติ หรือเปิดโอกาส?
เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด หยิบยกข้อมูลระบุว่า “นโยบายกัญชาเสรีสร้างปัญหาอย่างมีนัยสำคัญ” ได้แก่
- จำนวนผู้ป่วยที่มีอาการ “เป็นพิษจากกัญชา” เพิ่มขึ้น 6–7 เท่า
- ผู้ป่วยติดกัญชา เพิ่มขึ้น 2–5 เท่า
- ผู้ป่วยทางจิตจากการใช้กัญชา เพิ่มขึ้น 3–5 เท่า
- ผู้ป่วยในจังหวัดท่องเที่ยว เพิ่มขึ้นถึง 22 เท่า เกือบทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ
- ค่าใช้จ่ายการรักษาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับกัญชา เพิ่มขึ้น 5 เท่า
สถิติเหล่านี้กลายเป็นหลักฐานอ้างอิงของเครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด ที่ต้องการให้รัฐบาล “หยุดนโยบายกัญชาเสรี” และยุติช่องโหว่ทางกฎหมายที่ก่อให้เกิด “สุญญากาศการควบคุม” มาตั้งแต่ปี 2565
อย่างไรก็ตาม เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ซึ่งฝ่ายสนับสนุนนโยบายกัญชากลับโต้แย้งว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ “เสรี” แต่เพราะ “ไร้การควบคุมที่ดีพอ” และการไม่มี “กฎหมายเฉพาะ” มารองรับหลังการปลดกัญชาจากบัญชียาเสพติด ทำให้การใช้งานผิดวัตถุประสงค์
ประสิทธิชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย กล่าวว่า ปัญหาหลายอย่าง เช่น การขายให้เยาวชน การสูบในที่สาธารณะ หรือการโฆษณาเกินจริง สามารถควบคุมได้ด้วยกฎหมายที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน เพียงแต่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจริงจัง ก็ไม่จำเป็นต้องยกเลิกนโยบายกัญชาโดยสิ้นเชิง
ใช้เพื่อการแพทย์จำเป็นต้อง “เป็นยาเสพติด” หรือไม่?
อีกคำถามสำคัญที่ตามมาคือ ถ้ารัฐต้องการควบคุมการใช้กัญชาเฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น จำเป็นต้องนำกลับไปเป็นยาเสพติดหรือไม่?
ข้อเท็จจริงคือ ประเทศไทยเคยใช้กัญชา “เพื่อการแพทย์” มาแล้วก่อนปี 2565 โดยไม่ต้องทำให้ถูกกฎหมายเสรีทั้งหมด กัญชาอยู่ในบัญชียาเสพติด แต่สามารถใช้โดยแพทย์และสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือเป็น “โมเดลกึ่งควบคุม” ที่หลายประเทศใช้อยู่
แต่สำหรับ เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชา พวกเขามองว่า “การทำให้กัญชาเป็นยาเสพติดอีกครั้ง จะย้อนรอยไปสู่ยุคห้ามใช้แบบสุดโต่ง” ทั้งที่คนไทยมีองค์ความรู้ด้านภูมิปัญญาพื้นบ้าน และระบบสุขภาพของไทยควรเปิดกว้างสำหรับ “การดูแลตัวเอง” มากกว่าผูกขาดไว้ที่ใบสั่งแพทย์เพียงอย่างเดียว
ประสิทธิชัยยกตัวอย่างว่า “ผู้ป่วยพาร์กินสัน ไมเกรน หรือท้องอืด” ต้องการใช้กัญชาในลักษณะเฉียบพลัน ซึ่งการขอใบสั่งแพทย์อาจช้าเกินไป และไม่ตอบโจทย์การใช้จริง
สมดุลการควบคุมกัญชา “ใบสั่งแพทย์ vs สิทธิการใช้”
ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับล่าสุด ควบคุมช่อดอกกัญชา พ.ศ. 2568 ให้อำนาจแพทย์ในการเป็นผู้ตัดสินว่าใครสามารถซื้อช่อดอกกัญชาได้หรือไม่ โดยผู้ซื้อจำเป็นต้องมี “ใบสั่งจากแพทย์” ซึ่งออกให้เฉพาะผู้ป่วยที่ผ่านการวินิจฉัย
ในทางหนึ่ง กลไกนี้ถูกมองว่าเป็น “การคัดกรองผู้ใช้จริง” และลดการใช้ในทางสันทนาการโดยเยาวชนหรือบุคคลทั่วไป แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการ “สร้างช่องโหว่ใต้โต๊ะ” และ “จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน”
ประสิทธิชัยวิจารณ์อย่างหนักว่า ระบบนี้เปิดช่องให้เกิด “การซื้อใบรับรอง” และส่งเสริมระบบที่ไม่โปร่งใส เพราะหากใครมีเงินจ่าย 3,000 บาท ก็สามารถขอใบรับรองได้ โดยไม่มีการควบคุมแพทย์ผู้ให้ใบสั่งอย่างแท้จริง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ใครรับผิดชอบ หากถอยกลับ?
อีกด้านหนึ่งที่ถูกจับตามองคือ “ความเสียหายทางเศรษฐกิจ” หากรัฐบาลเลือกเดินหน้ากลับไปนำกัญชาเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง ในขณะที่กลุ่มแพทย์และเครือข่ายต่อต้านกัญชาเสรี ระบุว่า “ผลประโยชน์ของเด็ก เยาวชน และผู้ไม่ใช้กัญชา” มีความสำคัญมากกว่าการคุ้มครองธุรกิจกลุ่มเล็กๆ ที่มีผู้เกี่ยวข้องหลักหมื่นคน
แต่สำหรับผู้ประกอบการ ร้านค้า และเกษตรกร ผู้ลงทุนจริงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนท่าทีแบบฉับพลันอาจเท่ากับ “ทำลายธุรกิจในพริบตา”
โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ที่ไม่มีทุน ไม่มีเครือข่ายแพทย์ ไม่มีระบบตรวจสอบแบบทันสมัย จะเผชิญความเสี่ยงในการถูกถอนใบอนุญาตทันที และต้องปิดกิจการ
“สุดท้ายจะเหลือแต่ทุนใหญ่ ที่สามารถปรับตัวได้ทัน และต่างชาติก็ยังสามารถแทรกซึมเข้ามาได้ เพราะกฎหมายยังไม่ควบคุมเรื่อง ‘สัญชาติผู้ปลูก’ อย่างจริงจัง” ประสิทธิชัยเตือน
นโยบายกัญชาไปยังไงต่อ?
แม้ประกาศฯ ฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ทันที (ตั้งแต่ 26 มิ.ย. 68) แต่รัฐมนตรีสาธารณสุขยืนยันว่า “ร้านกัญชายังขายได้” หากปฏิบัติตามแนวทางการควบคุมใหม่ โดยระบุว่ายังไม่มีการบังคับใช้ “กฎกระทรวง” ที่ต้องมีแพทย์ประจำร้านในทันที ซึ่งถือเป็น “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” สำหรับผู้ประกอบการในการปรับตัว
ขณะเดียวกัน กรมการแพทย์แผนไทยฯ เตรียมอบรม “ผู้รู้” ให้สามารถให้คำแนะนำหรือควบคุมการใช้ภายในร้านแทนแพทย์ในระยะสั้น
นี่เป็นจุดที่น่าสังเกตว่า รัฐยังไม่ “ตัดขาด” ผู้ประกอบการออกจากระบบในทันที แต่กำลัง “จัดระเบียบ” โดยไม่ต้องถึงขั้นปิดกิจการ ทำให้ร้านค้าหลายแห่งยังคงเปิดขายได้ตามปกติในระหว่างที่รอข้อกำหนดใหม่ แต่การจำหน่าย “ช่อดอก” จะต้องมีใบสั่งจากผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์เท่านั้น
คำว่า “ใช้เพื่อการแพทย์ 100%” จึงกลายเป็นนิยามกลางที่รัฐพยายามยึดถือ แต่ในทางปฏิบัติยังมีพื้นที่สีเทาอีกมาก ซึ่งต้องจับตาว่าจะเคลียร์ให้ชัดเจนแค่ไหนในช่วงต่อไป
นโยบายกัญชา ไม่สามารถซ่อนมิติการเมืองได้
สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกตัวชัดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องการเมือง” และย้ำว่าประกาศฉบับนี้เกิดจากความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยไม่มีจุดประสงค์ตอบโต้พรรคภูมิใจไทยที่เพิ่งถอนตัวจากรัฐบาลก่อนหน้านี้
แต่หากมองจากบริบทการเมือง จะพบว่า “จังหวะเวลา” ของประกาศฉบับนี้เกิดขึ้นทันทีหลังจากพรรคภูมิใจไทยเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลกรณีกัญชาเสรี และเรียกร้องให้ผลักดัน พ.ร.บ.กัญชา โดยอ้างว่ารัฐบาลเพิกเฉย จนปัญหาบานปลาย
ดังนั้น แม้ สมศักดิ์จะพยายามแยกการเมืองออกจากนโยบาย แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทุกความเคลื่อนไหวของกัญชา ล้วนโยงกับ “แรงสั่นสะเทือนทางการเมือง” ทั้งในและนอกสภา
ปฏิเสธการผูกขาด แต่ไม่ชัดเจนเรื่องความเท่าเทียม
อีกข้อครหาที่รัฐมนตรีต้องเผชิญคือ “ข้อกล่าวหาเรื่องเอื้อทุนใหญ่” ซึ่ง สมศักดิ์ปฏิเสธชัดว่า “พูดว่าผูกขาดก็ต้องพิสูจน์มา ไม่ใช่พูดลอย ๆ”
แต่ในทางปฏิบัติ ข้อกำหนดใหม่ เช่น การใช้ช่อดอกต้องมาจากแปลงปลูกที่ผ่านมาตรฐาน GACP (Good Agricultural and Collection Practices) และการต้องมีใบสั่งแพทย์ รวมถึงแนวโน้มที่จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญประจำร้านในอนาคต ล้วนเป็นต้นทุนที่สูง ซึ่งร้านเล็กหรือชาวบ้านรายย่อยไม่สามารถแบกรับได้เท่าเทียมกับกลุ่มทุน
นี่คือโจทย์ที่รัฐยังไม่สามารถตอบได้ชัดว่า นโยบายใหม่นี้จะรักษาความหลากหลายของผู้ประกอบการ หรือจำกัดให้เหลือแต่กลุ่มทุนที่มีทรัพยากรมากกว่า
ชะลอ พ.ร.บ. เพราะรู้ว่า “ไปไม่รอด”?
สมศักดิ์อธิบายว่าการผลักดัน พ.ร.บ.กัญชาฯ ไม่สามารถเร่งได้ เพราะประสบการณ์ในสมัยรัฐบาลก่อนก็สะท้อนว่า “ไม่ใช่เรื่องที่จะจบง่าย ๆ” และหากใจเป็นกลางจะเข้าใจว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
แปลตรงตัวคือ “รัฐไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถผ่านกฎหมายนี้ในสภาได้” ซึ่งสะท้อนว่า แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากเครือข่ายประชาชน ร้านค้า และนักวิชาการ แต่รัฐบาลชุดนี้เลือกที่จะใช้ “กลไกประกาศ” และ “กฎกระทรวง” เป็นเครื่องมือหลักในการควบคุม มากกว่าจะผลักดันออกมาเป็นพระราชบัญญัติฯ
ไม่กลับไปเป็นยาเสพติด…แต่ขยับเป็น “สมุนไพรควบคุม”
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ รัฐไม่เดินหน้าให้กัญชา “กลับไปเป็นยาเสพติดประเภท 5” ในทันที แม้คณะกรรมการยาเสพติดจะเห็นชอบหลักการ และเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชนแล้ว
แต่แทนที่จะใช้แนวทางเดิม รัฐเลือก “ทางกลาง” โดยจัดให้กัญชาอยู่ในหมวด “สมุนไพรควบคุม” ซึ่งไม่ต้องแก้กฎหมายยาเสพติด แต่ยังมีอำนาจควบคุมการจำหน่าย การผลิต และการใช้ภายใต้ประกาศของกระทรวงสาธารณสุข
นโยบายนี้จึงเป็น “ไฮบริด” ระหว่างความเสรีกับการควบคุม – ซึ่งเหมาะกับบริบทที่ประชาชนส่วนหนึ่งยังใช้งานจริงอยู่ แต่รัฐต้องการปิดช่องโหว่ทางสาธารณสุข ในอนาคต กระทรวงสาธารณสุขเตรียมเพิ่มมาตรการเข้มงวดขึ้นอีก ได้แก่
- ใบอนุญาตใหม่จะตรวจสอบเข้มข้น
- ร้านค้าอาจต้องมีแพทย์ หรือผู้มีสิทธิออกใบสั่งประจำร้าน
- การตั้งร้านต้องได้รับความยินยอมจากชุมชน หรือองค์กรปกครองท้องถิ่น
- กลิ่นและควันต้องไม่รบกวนผู้อื่น
มาตรการเหล่านี้มองในแง่หนึ่งคือการสร้าง “สมดุลระหว่างสิทธิของผู้ใช้กับผู้ไม่ใช้” แต่ในอีกมุมหนึ่งก็อาจกลายเป็น “กำแพงกฎหมาย” ที่ผลักผู้ประกอบการรายย่อยออกจากระบบ และเปิดโอกาสให้ทุนใหญ่เข้าสู่ตลาดแทน
ขณะที่การเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนกว่า 16,000 คน เกี่ยวกับประกาศควบคุมช่อดอกกัญชา ฉบับล่าสุด พบว่า 59% เห็นด้วย และ 41% ไม่เห็นด้วย สะท้อนว่าสังคมยังแตกเป็นสองขั้ว
ฝ่ายที่เห็นด้วยยกเหตุผลเรื่องการควบคุมเด็ก เยาวชน และการป้องกันผลกระทบทางสาธารณสุข ส่วนฝ่ายไม่เห็นด้วยมองว่า ประกาศฉบับนี้เป็นการจำกัดเสรีภาพ และอาจส่งผลให้ผู้ป่วยเข้าไม่ถึงการรักษา
บทเรียนจาก 3 ปีของนโยบายกัญชาไทยชี้ว่า ปัญหาเกิดจาก “การขาดกฎหมาย” และ “กลไกควบคุม” ขณะเดียวกันการกลับไปใช้มาตรการแบบสุดโต่ง โดยห้ามใช้ทุกกรณี หรือปล่อยเสรีแบบไม่มีกรอบ ล้วนไม่ตอบโจทย์ หากไม่มีกฎหมายรองรับอย่างเป็นระบบ
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง