ความไม่ต่อเนื่องของการเมืองไทยทำให้หลายปัญหายืดเยื้อ หนึ่งในนั้นคือกรณี “แม่น้ำกกปนเปื้อน” ที่แม้จะลากยาวมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะจัดการอย่างไร
อีกสิ่งที่รัฐบาลของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ควรทำทันทีหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คือการยกระดับปัญหาน้ำกกเป็นวาระเร่งด่วน ออกมาตรการแก้ปัญหาและเยียวยาที่ชัดเจนเสียที เพื่อฟื้นคืนความมั่นใจของประชาชน และยุติวงจรมลพิษที่กัดกร่อนคุณภาพชีวิตผู้คนริมฝั่งโขง
แต่คงไม่ง่าย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไทยเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ทั้งฝุ่นควันและสารเคมีปนเปื้อนในแม่น้ำโขง ต่างย้ำชัดว่าการแก้ไขไม่อาจทำได้เพียงประเทศเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐ และการเจรจาระดับภูมิภาค หากไทยไม่หยิบยกกรณีนี้ขึ้นสู่โต๊ะเจรจา ก็เสี่ยงที่จะวนซ้ำโดยไร้ทางออก
ทุกวันนี้ แม่น้ำกกยังคงไหลอยู่ แต่ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของน้ำไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คำถามคือ เรื่องนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ และความร่วมมือข้ามพรมแดนเพื่อความยั่งยืนได้หรือไม่
“ศ.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ ยอมรับว่าความไม่ต่อเนื่องของรัฐบาลส่งผลโดยตรงต่อการแก้ปัญหาแม่น้ำกก เพราะขณะนี้เรายัง “ขาดเจ้าภาพหลัก” การแก้ปัญหาจึงต้องอาศัยประชาชนและนักวิชาการช่วยกัน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากการทำวิจัยและการตรวจวิเคราะห์ต้องใช้งบประมาณสูง หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐก็แทบเป็นไปไม่ได้
สิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องแสดง “ความจริงใจ” ต่อการแก้ปัญหา เมื่อได้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนแล้ว จึงควรกล้าที่จะสรุปหรือตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง
แหล่งกำเนิดสารพิษมาจากเหมือง
ผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกก เพื่อหาความเป็นพิษ และสืบหาที่มาของการปนเปื้อนด้วยเทคโนโลยีแสงซินโครตรอนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ทีมจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม (บพค.) เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนใต้น้ำจาก 40 จุด ตั้งแต่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ถึงอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย รวมถึงพื้นที่เกษตรกรรมใกล้แม่น้ำกก
“ศ.ศิวัช” ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยดังกล่าวเปิดเผยภาพรวมผลการตรวจว่า สารพิษโลหะหนักสามารถพบได้ทั้งใน “สารแขวนลอย” และ “น้ำที่กรองแล้ว” โดยทั่วไปการวัดค่ามาตรฐานน้ำดื่มจะอ้างอิงเฉพาะส่วนที่กรองแล้วออกมา ซึ่งผลการตรวจพบว่า
- หากวิเคราะห์ “น้ำรวมตะกอน” ค่าที่ได้สูงกว่ามาตรฐานน้ำดื่ม
- แต่เมื่อกรองสารแขวนลอยออก พบว่าสารหนูยังไม่เกินมาตรฐานในวันที่ตรวจวัด
ทั้งนี้ ค่าที่ได้มีความผันผวนตามช่วงเวลาและกิจกรรมที่เกิดขึ้น หากช่วงที่ไม่มีการทำเหมืองหรือใช้สารเคมี ค่าการปนเปื้อนก็อาจลดลง จึงจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
ส่วนสารพิษที่พบ นอกจากสารหนูแล้ว ยังพบโลหะหนักหลายชนิดในระดับน่ากังวล ได้แก่ ตะกั่ว แทลเลียม โคบอลต์ ยูเรเนียม โครเมียม และแคดเมียม หลายชนิดมีค่าเกินมาตรฐานมากพอสมควร
ด้านการวิเคราะห์แหล่งกำเนิด แม้โลหะหนักอาจมาจากหลายกิจกรรม เช่น การใช้ปุ๋ย เผาชีวมวล ขยะเทศบาล หรือโรงงานอุตสาหกรรม แต่จากการใช้แบบจำลองหลายรูปแบบ ผลชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะมาจากกิจกรรมการทำเหมือง โดยเฉพาะการพบสารบ่งชี้ เช่น ตะกั่ว สารหนู ยูเรเนียม และโคบอลต์ ซึ่งมักเกี่ยวพันกับกระบวนการทำเหมืองแร่
ขณะที่ระดับความเป็นพิษ การศึกษาสถานะออกซิเดชันของสารหนูพบว่า กว่า 80% อยู่ในรูปแบบ As+5 ซึ่งมีความเป็นพิษน้อยกว่า As+3 และร่างกายสามารถขับออกได้ง่ายกว่า ถือเป็น “ข่าวดี” ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่จัดการ ก็ยังเสี่ยงต่อการสะสมในห่วงโซ่อาหาร
ด้านผลกระทบต่อสุขภาพ “ศ.ศิวัช” เปรียบเทียบกรณีนี้กับโศกนาฏกรรม “มินามาตะ” ที่ญี่ปุ่น โดยชี้ว่าแม้ความเข้มขณะนี้อาจไม่สูง แต่โลหะหนักสามารถสะสมในสัตว์น้ำ และส่งต่อถึงมนุษย์ผ่านการบริโภคปลาในระยะยาว “มันไม่ใช่ว่ากินวันนี้ป่วยพรุ่งนี้ แต่เป็นระเบิดเวลาที่สะสมทีละน้อย”
รัฐขาดการนำข้อมูลไปใช้
“เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง” ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุว่า หน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค และกรมควบคุมมลพิษ มีการตรวจสอบและรายงานอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นข้อดีที่ช่วยให้เกิดการเฝ้าระวังต่อเนื่อง แต่ยังไม่เห็นการนำผลไปสู่ “การแก้ปัญหาที่ต้นทาง”
รัฐบาลต้องเอาผลตรวจเหล่านี้มาประมวล ใช้เป็นหลักฐานเจรจากับเมียนมา ลาว และจีน เพราะนี่ไม่ใช่แค่ปัญหาไทย แต่เป็นเรื่องของลุ่มน้ำโขงทั้งหมด
ส่วนกรณีผลตรวจปัสสาวะเด็กในพื้นที่บางส่วน พบการปนเปื้อนสารหนู แม้ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน “เพ็ญโฉม” ชี้ว่านี่ไม่ควรถูกมองข้าม สารหนูอนินทรีย์เป็นสารก่อมะเร็ง ไม่ควรตรวจเจอในร่างกายมนุษย์เลย การที่เจอแม้ไม่เกินมาตรฐาน แสดงว่าสภาพแวดล้อมเริ่มเสี่ยง ต้องมีการสืบหาสาเหตุและเฝ้าระวังอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในเด็กซึ่งเป็น “กลุ่มเปราะบาง”
เธอเสนอให้มีการตรวจเพิ่มเติม ทั้งเลือด เส้นผม และเล็บ เพื่อดูการสะสมระยะยาว และต้องจัดหาน้ำดื่ม-อาหารปลอดภัยให้ชุมชนเป็นมาตรการเร่งด่วน
เช่นเดียวกับ “ศ.ศิวัช” ย้ำว่านี่เป็นสัญญาณอันตรายในระยะยาว และจำเป็นต้องให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขเข้ามาศึกษาเพิ่มเติม ทั้งพฤติกรรมการบริโภคและแหล่งน้ำที่ใช้ เพราะเป็นปัญหาที่ไม่สามารถวัดผลกระทบได้ทันที
เด็กปนเปื้อนสารหนู ไม่ควรมองข้าม
ผลการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำกก ยืนยันชัดเจนแล้วว่ามีการปนเปื้อนจริง และเชื่อมโยงกับมลพิษจากเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อหันมาดูผลตรวจสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ กลับพบความซับซ้อนมากกว่าที่คิด
แม้จะตรวจพบสารหนูในร่างกายเด็กๆ แต่ค่าที่วัดได้ยังไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด กระนั้นเรื่องนี้ก็สร้างความกังวลให้กับครอบครัวในพื้นที่ และกลายเป็นประเด็นที่สังคมต้องเฝ้าติดตามต่อไปว่า สถานการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างไร และควรมีมาตรการเฝ้าระวังเชิงป้องกันอย่างไร
เด็กชายวัย 5 ขวบคนนี้ ถูกตรวจพบสารหนูในร่างกาย 30 ไมโครกรัมต่อลิตร ตัวเลขที่ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน 100 ไมโครกรัมต่อลิตร แต่ทำให้ครอบครัวไม่อาจวางใจได้ โดยเฉพาะเมื่อบ้านของพวกเขาตั้งอยู่ริมแม่น้ำกก ซึ่งตรวจพบการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน
คำถามสำคัญคือ เด็กชายวัยเพียง 5 ขวบ จะมีสารหนูในร่างกายได้อย่างไร? เกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนในแม่น้ำกกหรือไม่?
ทีมข่าวติดตามชีวิตของเด็กชายรายนี้ตลอดทั้งวัน เพื่อค้นหาความเสี่ยงที่อาจซ่อนอยู่ ปรากฏว่าตั้งแต่เช้าก่อนไปโรงเรียน แม่ทำอาหารจากวัตถุดิบในตลาด ไม่ได้ใช้ผักหรือน้ำจากแม่น้ำกก โรงเรียนที่เรียนอยู่ก็ไม่ได้ตั้งใกล้กับแม่น้ำ สุดท้ายอาหารเย็นที่บ้าน ส่วนใหญ่คือหมูและไข่ ไม่มีปลาจากแม่น้ำเลย
“นาน แซน” แม่เด็กชาย 5 ขวบ ชาวบ้านตำบลท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ ยอมรับเพียงว่า “ก่อนช่วงสงกรานต์ เด็กได้ลงเล่นน้ำในแม่น้ำกก ตามประสาเด็ก”
การตรวจ-เฝ้าระวังที่ยังไม่เพียงพอ
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าตอน ซึ่งทำหน้าที่เป็นด่านหน้าเฝ้าระวังสุขภาพชุมชน ติดตามพฤติกรรมการใช้ชีวิตของชาวบ้าน และเก็บตัวอย่างส่งกรมอนามัยตรวจสอบมาแล้ว 2 รอบ โดยล่าสุดในเดือนกรกฎาคมคือรอบที่ 3
“อนัญญา โชติรักษ์” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าตอน พยายามย้ำว่า ตัวเลขสารหนูที่พบยังไม่เกินมาตรฐาน และอาจเข้าสู่ร่างกายได้ตามธรรมชาติ แต่ก็ยากจะดับความกังวลของชาวบ้าน
ไม่ไกลจากนั้น ทีมข่าวพบเด็กชายวัย 2 ขวบ ที่ตรวจพบสารหนู 10 ไมโครกรัมต่อลิตร ยายที่เลี้ยงดูยืนยันว่า ไม่เคยปล่อยให้ลงเล่นน้ำกก อาหารส่วนใหญ่ก็ทำเองและซื้อจากตลาด หลานชอบกินปลาทูมากกว่า แต่เมื่อรู้ว่ามีสารหนูอยู่ในร่างกาย ก็สงสัยว่ามาจากไหนและอันตรายหรือไม่ เธออยากให้มีการตรวจซ้ำ
“จิรภัทร์ กันธิยาใจ” ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 ตำบลท่าตอน เสนอให้มีการตรวจเปรียบเทียบกับชาวบ้านที่อยู่นอกพื้นที่ริมแม่น้ำ เพื่อหาคำตอบว่า ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกกจริงหรือไม่
จากการตรวจรอบแรกเดือนเมษายน และรอบสองปลายพฤษภาคม ในกลุ่มตัวอย่าง 25 คน พบกว่า 80% มีสารโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนู” อยู่ในร่างกาย
เด็กวัย 2 ขวบ และ 5 ขวบ คือเพียงตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า แม้ค่าที่ตรวจพบยังไม่เกินมาตรฐาน แต่คำถามสำคัญคือ สารหนูเหล่านี้มาจากไหน? เป็นชนิดใด? และจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่?
คำตอบนี้คงต้องรอจากผู้เชี่ยวชาญ แต่สำหรับครอบครัว ความกังวลใจเริ่มก่อตัวขึ้นทุกวัน และเส้นทางการตามหาคำตอบของสารหนูในร่างกายเด็กๆ ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด
แพทย์ชี้ต้องเฝ้าระวังเด็กอย่างใกล้ชิด
“รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์” ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่าเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ประเทศไทยเคยมีบทเรียนจากการตรวจสารหนูในเด็กที่อยู่ใกล้เหมืองทองคำแห่งหนึ่ง ซึ่งพบว่ามีค่าสูง และลดลงเมื่อเหมืองหยุดประกอบกิจการ เป็นสารหนูตัวเดียวกันกับที่เด็กริมแม่น้ำกกกำลังพบอยู่ตอนนี้
การตรวจในปัจจุบันอาจจะมีกลุ่มตัวอย่างน้อยเกินไป และควรตรวจแยกระหว่างสารหนูอินทรีย์กับอนินทรีย์เพื่อให้ชัดเจน เพราะหากเป็นสารหนูอนินทรีย์ ถือว่าเป็นสารหนูที่ไม่ได้มาตามธรรมชาติ จะชี้ชัดว่ามาจากสารปนเปื้อนจากแม่น้ำกกหรือไม่
ขณะที่ “พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์” อธิบดีกรมอนามัย ยืนยันว่า การตรวจพบสารหนูในปัสสาวะไม่ได้หมายความว่าเป็นอันตรายเสมอไป เพราะสารหนูมีอยู่ในธรรมชาติ และบางรูปแบบ เช่น สารหนูอินทรีย์ที่ได้จากการบริโภคอาหารทะเล จะไม่ก่อพิษต่อร่างกาย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมก่อนตรวจจึงมักให้หลีกเลี่ยงอาหารทะเลล่วงหน้า
ในคนทั่วไปอาจมีสารหนูอยู่ในร่างกายได้ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารทะเล ซึ่งจะพบสารหนูในรูปแบบอินทรีย์ที่ไม่เป็นพิษ ร่างกายจะขับออกได้ทางปัสสาวะ
กรณีที่มีการรายงานผลตรวจ 2 รอบว่า พบสารหนู แต่ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน จึงไม่ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก หากค่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
เครือข่ายประชาชนมองรัฐยังไร้ทิศทางชัดเจน
เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก-สาย-ลวก-โขง เผยว่า ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในเมียนมายังไม่เห็นความคืบหน้าชัดเจน ขณะที่มาตรการของรัฐไทยยังเป็นเพียงการสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์และการตรวจสอบบางส่วน ไม่ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเกษตรกรรม
อาจารย์ “สืบสกุล กิจนุกร” จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงระบุว่า หน่วยงานที่ทำงานอย่างต่อเนื่องคือ กรมควบคุมมลพิษ ซึ่งตรวจคุณภาพน้ำเดือนละ 2 ครั้ง และตรวจตะกอนดินเดือนละครั้ง พร้อมเผยแพร่ผลอย่างเป็นระบบในเว็บไซต์ ให้ประชาชนเข้าถึงได้ ถือว่าเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดในปัจจุบัน
แต่กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรฯ ยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไข โดยสาธารณสุขยังขาดความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล ใช้เพียง Facebook เป็นช่องทางรายงาน และไม่ให้รายละเอียดเพียงพอ ส่วนกระทรวงเกษตรฯ ยังไม่เห็นแผนรองรับผลกระทบในพื้นที่เกษตรกว่า 100,000 ไร่ โดยเฉพาะนาข้าวที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในช่วงตุลาคม–พฤศจิกายนนี้
สิทธิเด็กและความมั่นคงใหม่
ด้านการเฝ้าระวังสุขภาพ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงถูกตรวจเพียงไม่กี่สิบราย โดยพบสารหนูในร่างกายเด็กและชาวบ้านบางส่วน แม้ไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่สะท้อนการสะสมที่เกิดขึ้นแล้ว
อาจารย์ “สืบสกุล” ชี้ว่า สิ่งนี้เกี่ยวพันกับ “สิทธิเด็ก” โดยตรง เพราะเด็กควรมีสิทธิในการเติบโตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย อีกทั้งการตรวจยังไม่ละเอียดพอ เนื่องจากยังไม่สามารถแยกชนิดสารหนูอินทรีย์และอนินทรีย์ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพแตกต่างกัน
ในมิติระหว่างประเทศ ปัญหาที่ต้นเหตุมาจากเหมืองในเมียนมา แต่รัฐบาลไทยยังไม่มีการเจรจาอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่เมษายนที่ผ่านมา มีเพียงถ้อยแถลงเตรียมการ ทำให้เครือข่ายประชาชนยังไม่เห็นความมุ่งมั่นจริงจังของรัฐไทย
“เรายังหวังว่าสักวันแม่น้ำกกจะกลับมาสะอาด เด็กๆ จะได้เล่นน้ำอย่างปลอดภัยเหมือนช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา แต่วันนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าความหวังนั้นจะเกิดขึ้นจริง” อาจารย์สืบสกุลกล่าว
เสนอใช้การทูตทางวิชาการ
ด้าน “ศ.ศิวัช” เสนอว่า ภาครัฐควรรวบรวมผลงานวิจัยทั้งหมด นำเสนอไปยังเลขาธิการอาเซียน เพื่อแจ้งต่อประเทศต้นน้ำ และใช้ “การทูตทางวิชาการ” ส่งผู้เชี่ยวชาญไทยไปถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ประกอบการเหมือง หากยังไม่ปรับปรุง ควรตรวจสอบเส้นทางการจำหน่ายแร่ หากเกี่ยวข้องกับบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้น ต้องเรียกร้องความรับผิดชอบด้าน ESG
“หากแร่เหล่านี้ถูกใช้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า บริษัทผู้ผลิตต้องถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ว่าเกี่ยวพันกับการทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน” ศ.ศิวัช กล่าว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน” ไม่ใช่เพียง “เรื่องสิ่งแวดล้อม” แต่เป็น “ความมั่นคงรูปแบบใหม่” ที่เกี่ยวพันกับสิทธิและคุณภาพชีวิตของคนริมฝั่งโขงโดยตรง
ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของการจัดการปัญหาข้ามพรมแดน ที่ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศ ความโปร่งใสในการสื่อสาร และการเฝ้าระวังสุขภาพที่ละเอียดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับ “สิทธิของเด็กในการเติบโตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย”
ความหวังของประชาชนริมฝั่งแม่น้ำกกยังคงอยู่ แต่จะต้องใช้ความมุ่งมั่นจริงจังจากทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับภูมิภาค
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง