ธรรมชาติของน้ำ: ทรัพยากรที่ไม่สนเส้นแบ่งชายแดน
น้ำจืดเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนหรือชาติมาช้านาน หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความตึงเครียดก็คือการปนเปื้อนและการปล่อยมลพิษลงสู่แหล่งน้ำจืด ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เช่นเคย รวมถึงการกักเก็บน้ำที่ส่งผลกระทบต่อประเทศหรือชุมชนปลายน้ำ อย่างเช่นการสร้างเขื่อนตามเส้นแม่น้ำ
ธรรมชาติของน้ำคือการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่ง น้ำไม่ถูกจำกัดด้วยเส้นแบ่งชายแดนทางการเมือง การไหลของน้ำข้ามเขตแดนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทำให้ปัญหาในพื้นที่หนึ่งสามารถส่งผลกระทบไปยังอีกหลายพื้นที่ได้ เหมือนกันกับปัญหามลพิษทางอากาศ ที่นอกจากจะจัดการปัญหาภายในประเทศแล้ว ยังมีมิติ ‘มลภาวะข้ามพรมแดน’ ที่ต้องจัดการด้วยเช่นกัน
บนโลกของเรามีลุ่มน้ำมากกว่า 280 ลุ่มน้ำที่ถูกใช้ร่วมกันตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไป ซึ่งมักนำไปสู่ข้อพิพาทระหว่างประเทศต้นน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะหลังมีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพิ่มแรงกดดันต่อแหล่งน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดในหลายลุ่มน้ำ
จากเหตุการณ์ข้ามแดนเกือบ 2,000 กรณีที่เกิดขึ้นในลุ่มน้ำข้ามพรมแดนระหว่างปี 1990-2008 พบว่า เหตุการณ์เหล่านี้เป็นการร่วมมือมากกว่าความขัดแย้งเกือบ 2 เท่า อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งจะกลายเป็นอันตราย และทวีความขัดแย้งในมิติอื่น ๆ ของการเมืองระหว่างประเทศได้อีก
บทเรียนจากประสบการณ์ระหว่างประเทศ
ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา มีกรณีความขัดแย้งจากน้ำข้ามพรมแดนหลายกรณี ส่วนหนึ่งมาจากการควบคุมและการจัดการน้ำของประเทศต้นน้ำ ที่อาจจะส่งผลกระทบให้ประเทศปลายน้ำเข้าถึงทรัพยากรได้ยากขึ้น ทรัพยากรอื่น ๆ ในแหล่งน้ำลดลง กระทบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ หรือส่งผลกระทบ เพิ่มความเสี่ยงด้านสาธารณสุข (เช่นเดียวกันกับกรณีแม่กก)
มีอีกหลายกรณีรอบโลกที่ประเทศต้นน้ำ มีกิจกรรมบางอย่างจนส่งผลให้แหล่งน้ำดังกล่าว ‘ปนเปื้อน’ กรณีเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดี ที่จะสามารถสะท้อนผลกระทบระยะสั้นและยาวของกรณีสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกกได้ รวมไปถึงช่วยให้เห็นแนวทาง มาตรการ ความพยายามจากหน่วยงานใดในการจัดการปัญหาอยู่บ้าง และความพยายามเหล่านั้น สำเร็จหรือไม่
อิสราเอล-ปาเลสไตน์: ความร่วมมือท่ามกลางความขัดแย้ง
ปัญหาคุณภาพน้ำระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า แม้ในพื้นที่ที่มีความตึงเครียดทางการเมืองสูง การร่วมมือทางเทคนิคด้านสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นไปได้ โดยต้นตอหลักของปัญหาน้ำปนเปื้อนได้แก่ มลพิษจากผลิตภัณฑ์เคมีทางการเกษตร การซึมของน้ำทะเล และการปล่อยน้ำเสียจำนวนมากในเขตอุตสาหกรรมเฮบรอน ซึ่งในสารเคมีเหล่านั้นมีสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตราย
การแก้ไขปัญหาดำเนินไปผ่านหลายช่องทาง ได้แก่ การจัดทำข้อตกลงชั่วคราว Oslo II ที่นำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการน้ำร่วมและคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมปาเลสไตน์-อิสราเอล (EEC) ซึ่งแต่ละฝ่ายมีสิทธิยับยั้งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่อาจส่งผลกระทบ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามจากภาคประชาสังคมผ่านองค์กรอย่าง EcoPeace Middle East ที่รวบรวมนักสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวแก้ไขปัญหาน้ำปนเปื้อนในระดับรากหญ้า หรือระดับชุมชน
ตุรกี-อาร์เมเนีย: การเจรจาที่ไม่ครอบคลุม
ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีและอาร์เมเนียในประเด็นคุณภาพน้ำเป็นตัวอย่างของการเจรจาที่ไม่ครอบคลุมประเด็นหลัก น้ำจากอ่างเก็บน้ำที่ใช้ร่วมกันมีการปนเปื้อนโลหะหนักและสารพิษ สาเหตุสำคัญมาจากขยะครัวเรือนฝั่งอาร์เมเนียที่ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำ และการใช้สารเคมีกับยาฆ่าแมลงในภาคการเกษตรต้นน้ำของตุรกี ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเกลือสะสมในอนาคต
แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศจะจัดประชุมร่วมกันเป็นประจำทุกปี แต่การหารือมุ่งเน้นเฉพาะปัญหาปริมาณน้ำ โดยไม่ได้กล่าวถึงปัญหาคุณภาพน้ำ ผลที่ตามมาคือ ปัญหาคุณภาพน้ำยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปัจจุบัน กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการกำหนดวาระการเจรจาให้ครอบคลุมทุกมิติของปัญหา ไม่เพียงแต่สนใจด้านการจัดสรรทรัพยากร (ปริมาณ) แต่ต้องสนใจการควบคุมทรัพยากรให้ปลอดภัยต่อการใช้ด้วย (คุณภาพ)
ทะเลอารัล: ความร่วมมือหลายชาติในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
ความขัดแย้งเรื่องทะเลอารัลเป็นตัวอย่างของการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือของหลายประเทศ ทะเลอารัลสูญเสียพื้นที่ผิวน้ำไปกว่าสามในสี่ส่วนระหว่างปี 1960-1990 พื้นที่ผิวน้ำหดตัวลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ทำให้ความเค็มเพิ่มขึ้นสามเท่า เกิดพายุฝุ่นพิษและน้ำปนเปื้อน
ประเทศในแถบเอเชียกลางจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านน้ำระหว่างรัฐ (ICWC) และทำข้อตกลงการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาของทะเลอารัลและพื้นที่ชายฝั่ง การปรับปรุงสิ่งแวดล้อม และการรับรองการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจของทะเลอารัล นอกจากนี้ยังมีการตั้งกองทุนระหว่างประเทศเพื่อทะเลอารัล (IFAS) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานฟื้นฟู แม้จะดูเป็นการทำงานที่ครอบคลุมทั้งส่วนของทรัพยากรมนุษย์ จัดการกับปัญหาหรือทรัพยากรเงินแล้ว แต่ปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ำในทะเลอารัลก็ยังคงมีอยู่ถึงปัจจุบัน
กรณีศึกษา การเมืองทางน้ำใกล้ฉัน: น้ำปนเปื้อนรังสีจากฟุกุชิมะ
เหตุการณ์การปล่อยน้ำบำบัดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับการจัดการมลพิษข้ามพรมแดนในยุคปัจจุบัน เหตุการณ์นี้มีความใกล้เคียงกับสถานการณ์แม่น้ำกกทั้งในมิติเวลา (เกิดขึ้นไม่นานมานี้) และภูมิศาสตร์ (อยู่ในภูมิภาคเอเชีย) โดยมีญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ถูกมองว่าเป็นต้นเหตุ ขณะที่จีนและเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหลักและออกมาพูดถึงประเด็นนี้อยู่บ่อย ๆ
ที่มาของปัญหา
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในญี่ปุ่นตะวันออกเมื่อเดือนมีนาคม 2011 ได้เกิดน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีจำนวนมากเป็นผลพลอยได้ ญี่ปุ่นได้ดำเนินการบำบัดน้ำด้วยระบบประมวลผลของเหลวขั้นสูง ALPS (Advanced Liquid Processing System) เพื่อกำจัดธาตุกัมมันตภาพรังสีส่วนใหญ่ และในปัจจุบันกำลังปล่อยน้ำที่ได้รับการบำบัดแล้วลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก แม้ว่าจะยังมีทริเทียมปนอยู่ (ในระดับที่ถือว่าปลอดภัยตามมาตรฐานสากล)
การจัดการความกังวลระหว่างประเทศ
น้ำที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีเป็นประเด็นใหม่สำหรับผู้คนในพื้นที่ รวมไปถึงประเทศต่าง ๆ รอบโลก ทำให้เกิดการต่อต้านการปล่อยน้ำที่บำบัดแล้วลงทะเล หรือกระทั่งมาตรการงดนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการทำงานอย่างโปร่งใสด้านวิทยาศาสตร์และความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศอย่างองค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้ช่วยให้หลายประเทศยอมรับการปล่อยน้ำเสียลงทะเลมากขึ้น
- จีน: โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน อ้างว่าญี่ปุ่นได้ตัดสินใจฝ่ายเดียวและไม่รับผิดชอบในการจัดการกับผลกระทบร้ายแรงจากอุบัติเหตุฟุกุชิมะปี 2011 นอกจากนี้ นักวิชาการกฎหมายของจีนยังอ้างถึงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) เพื่อวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจที่ไม่รับผิดชอบและไม่ยุติธรรมของญี่ปุ่น
- เกาหลีใต้: รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ต่อต้านการตัดสินใจทันทีเนื่องจากอาจเกิดการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมและความเสี่ยงต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ได้เปลี่ยนจุดยืนโดยสิ้นเชิงหลังจากยุน ซอก-ยอลขึ้นเป็นประธานาธิบดี แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากสาธารณชนเกาหลีใต้
- ฮ่องกง: ฮ่องกงต่อต้านการตัดสินใจของญี่ปุ่นอย่างรุนแรงและได้บังคับใช้การห้ามนำเข้าอาหารทะเลจาก 10 จังหวัดของญี่ปุ่น รวมถึงโตเกียวและฟุกุชิมะ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2023 ผู้บริหารสูงสุด John Lee ได้กล่าวว่าการปล่อยน้ำเป็นการ “กระทำที่ไม่รับผิดชอบ”
- หมู่เกาะแปซิฟิก: PIF ได้แตกออกเป็นสองกลุ่มในประเด็นนี้ โดยฝ่ายหนึ่งสนับสนุนการปล่อยน้ำและอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้องความโปร่งใสและข้อมูลเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังขอให้มีการสนทนาอย่างต่อเนื่องกับญี่ปุ่นและ IAEA เพื่อรับข้อมูลอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ
- ประเทศตะวันตก: สหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนการปล่อยน้ำปนเปื้อน/บำบัดฟุกุชิมะของญี่ปุ่น สหราชอาณาจักรก็แสดงการสนับสนุนการปล่อยน้ำของญี่ปุ่นและสนับสนุนการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่เข้มงวดของ IAEA ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในระดับสูง
- รัสเซีย: วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของญี่ปุ่นในการปล่อยน้ำ โดยโต้แย้งว่าโตเกียวไม่ได้มีความโปร่งใสอย่างเต็มที่เกี่ยวกับกระบวนการบำบัดน้ำ
จีนและเกาหลีใต้ในตอนแรกได้ประณามการปล่อยน้ำดังกล่าว โดยอ้างถึงความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและประเด็นทางประวัติศาสตร์ โดยมีภาพยนตร์สารคดีอย่าง “The Last of the Sea Woman” ได้บอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกของชุมชนชายฝั่งของเกาหลีใต้ จากกรณีที่น้ำเสียเหล่านี้อาจไหลมาปนเปื้อนทะเลที่เกาะเชจู ชาวบ้านหรือ “แฮนยอ” ที่ดำรงอาชีพฟรีไดฟ์วิง ดำน้ำเก็บอาหารทะเลในน้ำลึก เป็นกลุ่มคนที่จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนจากน้ำเสีย เมื่อสถานที่ทำงานของพวกเขาอยู่ในทะเลลึก
ในภาพยนตร์ก็ได้ติดตามกลุ่มสตรี “แฮนยอ” ค่อย ๆ รับทราบประเด็นปัญหามลพิษทางน้ำ ข่าวการปล่อยน้ำที่บำบัดแล้วลงทะเล การทำงานร่วมกันระหว่างภาคประชาสังคมและชุมชนผู้รักในทะเล รวมถึงความพยายามยับยั้งการปล่อยน้ำจากฟุกุชิมะ ในระดับประเทศ (แฮนยอร่วมกันประท้วงต่อต้านการปล่อยน้ำเสีย) และในระดับโลก (มีตัวแทนแฮนยอได้ไปพูดแสดงความกังวลในเวทีสหประชาชาติ)
ในเวลาต่อมา เกาหลีใต้ได้ผ่อนปรนท่าทีลง แต่จีนก็ยังคงแสดงการคัดค้านอย่างรุนแรง ประเทศเกาะแปซิฟิกได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในระยะยาว เนื่องจากพึ่งพาระบบนิเวศทางทะเล ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกหลายประเทศได้ให้การสนับสนุนแนวทางของญี่ปุ่น โดยสอดคล้องกับการประเมินทางวิทยาศาสตร์ของ IAEA
การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่น
ในปัจจุบัน ญี่ปุ่นยังไม่สามารถฟื้นฟูสถานการณ์กลับสู่สภาพเดิมได้อย่างสมบูรณ์ โดยตัวเลขปริมาณการผลิตสินค้าประมงของเมืองอิวากิ ช่วยให้เห็นภาพผลกระทบหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประเทศต่าง ๆ ยังคงกลัวสารกัมมันตะรังสี ไม่กล้ารับผลผลิตทางการประมงจากเมืองอิวากิไป แม้กระทั่งในปี 2023 ที่ผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวมากว่าสิบปี ยอดการผลิตและมูลค่าการผลิตสินค้าประมง ก็ยังคงไม่ถึงครึ่งของยอดเมื่อปี 2010 ก่อนเกิดเหตุการณ์ขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีการดำเนินมาตรการเพื่อความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจอย่างเข้มงวด หลังจากอุบัติเหตุนิวเคลียร์ สัตว์น้ำที่จับได้ผ่านการตรวจสอบการติดตามของจังหวัดฟุกุชิมะเพื่อยืนยันความปลอดภัย นอกจากนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถบริโภคด้วยความมั่นใจและปลอดภัย สัตว์น้ำทุกชนิดที่จับได้ที่ตลาดปลาโอนะฮะมะต้องผ่านการตรวจสอบ มีการกำหนดมาตรฐานความสมัครใจที่ 50 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม และหากการตรวจสอบที่ตลาดพบระดับที่เกินครึ่งหนึ่งของค่านี้ (25 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม) จะมีการตรวจสอบรายละเอียดโดยสถาบันทดสอบของจังหวัด
กรณีศึกษาเหล่านี้ให้ข้อเสนอแนะสำคัญหลายประการสำหรับการจัดการปัญหาน้ำปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก และทิศทางที่ประเทสไทยควรปรับตัวและไปต่อ หลังค้นพบค่าสารพิษอันตรายในแหล่งน้ำในบ้านของตนเองแล้ว
อนาคต: มลพิษทางน้ำไหลไปทางไหน รัฐไทยทำอย่างไรต่อ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ
อากาศจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวัฏจักรของน้ำ การลดลงของปริมาณฝนและอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะลดแหล่งน้ำในหลายพื้นที่แห้งแล้งในขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการน้ำเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดว่าจะเพิ่มความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์สุดขั้วทางน้ำ เช่น ภัยแล้งและน้ำท่วม
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำ เช่น เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น น้ำเค็มอาจแทรกซึมเข้าไปในแหล่งน้ำใต้ดินบริเวณชายฝั่ง หรือสารพิษอาจเข้มข้นในแม่น้ำที่แห้งขอด สิ่งเหล่านี้เพิ่มความกังวลต่อประเด็นปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค
เมื่อย้อนกลับมาดูปัญหาแม่น้ำกก เครื่องมือทางกฎหมายและนโยบายของประเทศไทยในปัจจุบันอาจต้องศึกษาและปรับใช้บทเรียนจากประเทศอื่นๆ ที่เคยผ่านเหตุการณ์คล้ายคลึงกันมาแล้ว เพื่อแก้ไขปัญหาสารหนูก่อนที่ผลกระทบจะขยายวงกว้างไปกว่านี้ หากวันหนึ่งสารหนูนี้ไม่ได้กระทบเพียงแค่ประชาชนภาคเหนือของประเทศเท่านั้น
การจัดการปัญหา “สารพิษเปื้อนน้ำข้ามพรมแดน” ต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างการทูต เทคโนโลยี และกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ ประเทศไทยควรพัฒนาความสามารถในการเจรจาด้านสิ่งแวดล้อม สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และเสริมสร้างศักยภาพในการตรวจสอบและจัดการคุณภาพน้ำ
สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้มีขอบเขตแบ่งตามชายแดนเพียงแค่ภายในประเทศ การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนจึงต้องอาศัยความร่วมมือและความเข้าใจร่วมกันระหว่างชาติ ประสบการณ์จากทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า แม้ปัญหาจะซับซ้อนและทับซ้อนกับมิติทางการเมือง แต่การร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นไปได้และจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนของทุกคน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ประกาศคุ้มครองสิ่งแวดล้อม รับมือมลพิษ แม่น้ำกก-สาย
- แก้วิกฤตฝุ่น ลงมือทำได้ ระหว่างรอ “พ.ร.บ.อากาศสะอาด”
- ชำแหละเป้าหมาย ผลลัพธ์ มาตรการแก้ฝุ่น PM2.5
- กทม.ติดอันดับ 42 โลก เมืองคุณภาพอากาศแย่