เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดใจ "บันทึกการเดินทาง 5 ปี ของ ธปท. : การดำเนินนโยบายในยุคแห่งความท้าทาย" ในการแถลง "ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) ครั้งที่ 2/68" ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของ "เศรษฐพุฒิ" ในตำแหน่งผู้ว่าฯ
รัฐบาลขยับสัดส่วนการก่อหนี้ ตามมาตรา 50 ตามพ.ร.บ.วินัการเงินการคลัง แต่ที่ผ่านมา นับตั้งแต่โควิด-19 รัฐบาลเริ่มก่อหนี้มากขึ้นด้วยการกู้เงิน นอกจากการกู้เงินเพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุลแล้ว เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ ทำให้กระทบรายได้ จนทำให้ต้องขยายเพดานก่อหนี้ มีความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น
มูดีส์ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของไทย (Outlook) เป็น Negative Outlook โดยปรับลดลงต่อเนื่องในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าอันดับเครดิตยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะฐานะการคลังของประเทศ
AMRO มองนโยบายการเงินไทยเหมาะสม แต่แนะให้ลดการขาดดุลการคลัง ด้วยการปฏิรูปจัดเก็บภาษี รองรับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และต้องปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพในระยะยาว ทำให้ตรงจุดและตามแผนที่วางไว้
ขณะที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้จีดีพีของประเทศขยายตัวมากกว่า 3% ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่อาจไม่ง่าย เพราะศักยภาพของเศรษฐกิจไทมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า 2% เนื่องจากปัญหาโครงสร้าง ทั้งขีดแข่งขันของประเทศ แรงงานเข้าสู่สังคมสูงอายุ ทำให้ศักยภาพแต่กว่าทุกวิกฤตที่ผ่านมา
อัตราการเกิดของไทยลดลงเรื่อย ๆ ทำให้จำนวนการเกิดของเด็กลดน้อยลง แต่ผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม ในอนาคต หากไม่มีมาตรการรองรับอย่างจริงจัง
ธนาคารโลกแนะไทยต้องขึ้นภาษี ลดความเสี่ยงทางการคลัง คาดปี 68 หนี้สาธารณะไทยจะสูงขึ้นที่ 64.6% ต่อจีดีพี รัฐบาลจะเผชิญแรงกดดันด้านรายจ่ายสูงขึ้นจากสังคมสูงวัย และขยายการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้รัฐบาลทบทวนแผนการคลังระยะปานกลางครั้งที่ 2 หลังหันมาใช้งบประมาณดำเนินโครงการแทนออกพระราชบัญญัติกู้เงิน ส่งผลให้หนี้สาธารณะขยับขึ้นในปีนี้ ทะลุ 65% ของจีดีพี และคาดว่าในปี 2571 จะเพิ่มเป็น 68.6% ของจีดีพี