แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ พีดีพี (PDP 2024) ฉบับใหม่ ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากกระบวนการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 ทำให้ภาครัฐต้องหันมาสนับสนุนการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและระบบบริหารจัดการไฟฟ้ามากขึ้น
แต่จะเป็นไปได้จริงหรือไม่ ในเมื่อผู้ประกอบการรายใหญ่และมีบทบาทต่อนโยบายภาครัฐ ยังอยู่ในกลุ่มที่ใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล
โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามแผน PDP 2024 ที่ได้รับการสนับสนุนและตามนโยบาย คือ โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งภาครัฐมีแนวโน้มเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น โดยคาดว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าทั้ง 3 ประเภท จะขยายตัว 14.5% ต่อปี มาอยู่ที่ 48,666 เมกะวัตต์ในปี 2580
กำลังการผลิตดังกล่าวคิดเป็น 43% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกระบวนการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 27.5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) คิดเป็น 57% ของเป้าหมาย Carbon Neutrality ซึ่งยังอยู่ในระดับที่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายในปี 2593
นายพงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า รายได้รวมของธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าชีวมวลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 1 แสนล้านบาทในปี 2566 เป็น 2.9 แสนล้านบาทในปี 2580 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.9%
กำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าดังกล่าว ซึ่งมาจากการรับซื้อไฟฟ้าจากกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ของภาครัฐทั้งหมด 39,693 เมกะวัตต์ในช่วงปี 2567–2580 โดยแบ่งเป็น โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 30,412 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม 7,845 เมกะวัตต์ และ โรงไฟฟ้าชีวมวล 1,436 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ การรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าชีวมวลของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในช่วงปี 2567–2580 คาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในการก่อสร้างทั่วประเทศกว่า 1.7 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็น โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ราว 1.1 ล้านล้านบาท โรงไฟฟ้าพลังงานลม 4.6 แสนล้านบาท และโรงไฟฟ้าชีวมวล 1.3 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ในแต่ละพื้นที่ของประเทศจะมีการดึงดูดการลงทุนโรงไฟฟ้าที่แตกต่างกันไป โดยภาคเหนือจะมีศักยภาพในการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์มากที่สุด เนื่องจากภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าแสงอาทิตย์จากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในภาคเหนือมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 30.5% ของการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งประเทศ
ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมมากที่สุด โดยภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าพลังงานลมจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกือบทั้งหมด หรือ 92% ของการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานลมทั้งหมด
สำหรับการลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลนั้น ทุกพื้นที่มีศักยภาพในการผลิต ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อเพลิงที่นำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยควรเลือกใช้วัสดุเหลือใช้ในการเกษตรมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
โรงไฟฟ้าชีวมวลที่ตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง ควรเลือกใช้ใบและยอดอ้อย และฟางข้าวเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ขณะที่โรงไฟฟ้าชีวมวลที่ตั้งในภาคใต้ควรเลือกใช้เศษวัสดุจากปาล์มเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เพราะเป็นวัสดุที่เหลือใช้ในภาคดังกล่าวจำนวนมาก
แม้ว่าแผน PDP 2024 จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมากพอสมควร โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ แต่ภาครัฐยังสนับสนุนการลงทุน Solar Rooftop ของภาคครัวเรือนค่อนข้างน้อย ดังนั้น ภาครัฐควรรับซื้อไฟฟ้าที่เหลือใช้จาก Solar Rooftop ของภาคครัวเรือนมากขึ้น และทำสัญญาซื้อขาย ไฟฟ้าในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกับภาคเอกชน (25 ปี ) เพื่อกระตุ้นให้ภาคครัวเรือนหันมาติดตั้ง Solar Rooftops เพื่อผลิตไฟฟ้าไว้ใช้เองมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตไฟฟ้าของไทยในระยะยาว